- 14 ก.ค.64 ติดเชื้อถึง 5.4 หมื่นคนสูงกว่าอินเดีย
- ดันยอดสะสม 2.6 ล้านคน ตายสะสมกว่า 6.9 หมื่นคน
- หลังสายพันธุ์เดลตาระบาดหนักในหลายพื้นที่แล้ว
อินโดนีเซีย เผยวานนี้ (14 ก.ค.) พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มกว่า 54,000 คน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่ายอดผู้ติดเชื้อรายวันในอินเดีย ที่การระบาดเริ่มดีขึ้น
กระทรวงสาธารณสุขของอินโดนีเซียรายงานว่า วานนี้ พบมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่มากถึง 54,517 คน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่ายอดผู้ติดเชื้อรายวันในอินเดีย ส่วนผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 991 คน ทำให้อินโดนีเซียมียอดผู้ติดเชื้อรวมกว่า 2.6 ล้านคน และผู้เสียชีวิตกว่า 69,000 คน
ขณะที่เมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อใหม่อยู่ที่วันละประมาณ 8,000 คน แต่ขณะนี้มียอดผู้ติดเชื้อรายวันสูงกว่าอินเดีย แม้ว่าอินโดนีเซีย มีอัตราตรวจหาเชื้อในประชากรต่ำกว่าอินเดียมากก็ตาม ส่วนอินเดีย วานนี้ พบผู้ติดเชื้อใหม่ต่ำกว่า 39,000 คน ซึ่งต่ำกว่าเมื่อช่วงเดือนพ.ค. ที่ติดเชื้อรายวันมากกว่า 400,000 คน หลังจากที่อินเดียใช้มาตรการล็อคดาวน์ในพื้นที่ที่มีการระบาดอย่างหนัก รวมถึงมีการระดมฉีดวัคซีนให้ประชาชน
ด้านพันดู ริโอโน ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาจากมหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย กล่าวว่า ทางการอินโดนีเซียกังวลว่า เชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาที่ระบาดได้ง่ายขึ้นนี้ จะระบาดจากเกาะชวาและเกาะบาหลีไปทั่วประเทศ และได้ประกาศให้มีมาตรการล็อคดาวน์บางส่วน โดยมปิดสถานที่ทางศาสนา ศูนย์การค้า สวนสาธารณะ และร้านอาหาร
นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ การระบาดระลอกนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในเดือนก.ค.นี้ เนื่องจากอินโดนีเซียยังไม่สามารถควบคุมการติดเชื้อได้ ยังมีการใช้มาตรการควบคุมฉุกเฉินไม่เพียงพอ และควรมีการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้นกว่านี้ เพราะสายพันธุ์เดลตาระบาดได้มากกว่าไวรัสสายพันธุ์เดิมถึง 2 เท่า
ก่อนหน้านี้ นายบูดิ กูนาดิ ซาดิกิน รมว.สาธารณสุขอินโดนีเซีย กล่าวว่า พบการระบาดของเชื้อสายพันธุ์เดลตาในบางพื้นที่นอกเกาะชวาและเกาะบาหลี นอกจากนี้ การครองเตียงในโรงพยาบาลอยู่ที่กว่า 90,000 เตียงจากทั้งหมด 120,000 เตียง
ทั้งนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียยังเผชิญปัญหาการจัดหาวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมาย โดยตั้งเป้าหมายจะฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้กว่า 181 ล้านคน จากทั้งหมด 270 ล้านคน ภายในเดือนมี.ค.65 แต่จนถึงขณะนี้ ฉีดได้เพียง 15.6 ล้านคนเท่านั้น โดยมีวัคซีนของซิโนแวค แอสตราเซเนกา และโมเดอร์นารวมกัน 137.6 ล้านโดส ซึ่งเพียงพอสำหรับฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้ 69 ล้านคนเท่านั้น
