หุ้นกู้ออกใหม่ปีนี้ยังแตะ9แสนล้านบาท

  • กสิกรไทยมั่นใจหุ้นกู้ออกใหม่ปีนี้ยังอยู่ในระดับ 9 แสนล้านบาท
  • บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ชิมลางออกช่วงโควิด-19ขายหมดเกลี้ยง
  • รับอานิสงค์ดอกเบี้ยฝากขาลง-หุ้นกู้ส่วนทางดอกเบี้ยเพิ่ม0.20-1.75%

นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินในวงกว้าง แม้กระทั่งตลาดตราสารหนี้เองก็ได้รับผลกระทบในเชิงลบในช่วงที่ผ่านมา เริ่มจากการที่ราคาตราสารหนี้ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบถึงมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของกองทุน และทำให้ผู้ลงทุนหรือผู้ถือหน่วยลงทุนเกิดความไม่มั่นใจ และเร่งขายหน่วยลงทุนอย่างหนักในช่วงกลางเดือนมีนาคม 2563 ส่งผลให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ต้องรีบขายตราสารหนี้ที่ตนถือครองอยู่ในตลาดรอง และยอมขายในราคาต่ำ เพื่อนำเงินที่ได้จากการขายมาคืนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน ทั้งยังลดการลงทุนตราสารหนี้ออกใหม่เพื่อรักษาสภาพคล่อง

ซึ่งทำให้ความต้องการลงทุนชะลอตัวไปด้วยในไตรมาส 1 ปี 2563 มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ของกองทุนรวมของไทยทั้งระบบ ลดลงประมาณ 800,000 ล้านบาท หรือ 15.30% จาก 5.4 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2562 มาอยู่ที่ 4.6 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับ NAV เมื่อ 4 ปีที่แล้วหรือเมื่อปี 2559 โดยในเดือนมีนาคมเพียงเดือนเดียว NAV ลดไปถึง 700,000 ล้านบาท เฉพาะกองทุนรวมตราสารหนี้มีเงินไหลออกสูงถึง 450,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ในปัจจุบัน แรงเทขายกองทุนชะลอลงแล้ว และตลาดเริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติมากขึ้น หลังจากที่ทางการทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นฝั่งรัฐบาลหรือธนาคารกลางที่ออกมาตรการทั้งทางการคลังและการเงินเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบ

ในส่วนของการออกตราสารหนี้ในตลาดแรก มูลค่าการออกใหม่ของหุ้นกู้ระยะยาวภาคเอกชนลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ โดยลดลงถึง 41% จาก 310,000 ล้านบาท ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2562 มาอยู่ที่ 180,000 ล้านบาท เป็นผลจากผู้ออกหุ้นกู้หลายรายตัดสินใจเลื่อนหรือชะลอการออกหุ้นกู้จากเดิมที่วางแผนไว้ในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม เพื่อรอสภาพตลาดที่ดีขึ้น บางรายหันไปใช้วงเงินสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์แทนในช่วงที่การออกหุ้นกู้มีความท้าทาย เนื่องจากความต้องการลงทุนของผู้ลงทุนสถาบันที่ลดลงเป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะจากผู้ลงทุนประเภท บลจ. ที่มีความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น ในขณะที่ผู้ลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดา จะสังเกตได้ว่าเน้นการลงทุนไปยังหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตดีมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะได้ผลตอบแทนที่น้อยลง ส่งผลให้หุ้นกู้ที่ไม่มีอันดับความน่าเชื่อถือหรือสำหรับหุ้นกู้อันดับความน่าเชื่อถือต่ำ แม้ว่าผู้ออกหุ้นกู้จะยอมให้อัตราผลตอบแทนในระดับสูง แต่ก็มียอดซื้อที่ไม่สูงตามเป้าหมาย

สำหรับสถานการณ์ล่าสุด ความกังวลของผู้ลงทุนปรับลดลงบ้าง ตามมาตรการจากรัฐบาลและธนาคารกลางที่ออกมาพร้อม ๆ กันทั่วโลกเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ทำให้เริ่มเห็นการกลับมาลงทุน แต่เฉพาะในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี หรือสำหรับตราสารหนี้ ต้องเป็นตราสารหนี้ที่เป็นรู้จักและมีอันดับความน่าเชื่อถือสูง อาทิ พันธบัตรรัฐบาล รุ่นเราไม่ทิ้งกัน หุ้นกู้ของบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) และหุ้นกู้ของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ซึ่งธนาคารกสิกรไทยร่วมเป็นหนึ่งในผู้จัดการการจัดจำหน่ายตราสารหนี้เหล่านี้ด้วย และมีกำหนดการเสนอขายในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนมิถุนายนนี้ และคาดว่าตราสารหนี้เหล่านี้จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนค่อนข้างดี

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าสนใจคือ แม้ว่าสถานการณ์โดยรวมปรับตัวดีขึ้นบ้าง และความต้องการลงทุนเริ่มกลับมาดีขึ้น แต่ต้นทุนของการออกหุ้นกู้นั้นไม่ได้ปรับลดลงตาม แต่มาอยู่ในระดับที่เรียกว่า New Normal ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นและส่งผ่านมายังส่วนต่างอัตราผลตอบแทน (Credit Spread) ที่เพิ่มขึ้น 0.20–1.75 % เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 โดย Credit Spread ที่สูงขึ้นนั้นขึ้นอยู่กับรุ่นอายุ อันดับความน่าเชื่อถือ รวมถึงอุตสาหกรรมของผู้ออก ว่ามีโอกาสได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจถดถอยหรือจากโควิด-19 มากน้อยเพียงใด

สำหรับในปี 2563 นี้ ธนาคารกสิกรไทยยังคาดว่าจะมีหุ้นกู้ระยะยาวภาคเอกชนออกใหม่จำนวนประมาณ 900,000 ล้านบาท ลดลงจากระดับเกินกว่า 1 ล้านล้านบาทในปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการลดลงครั้งแรกตั้งแต่ปี 2558 โดยสาเหตุหลักมาจากแผนการลงทุนของผู้ออกหุ้นกู้ที่เลื่อนหรือยกเลิกไป ทำให้การระดมทุนผ่านตราสารหนี้ชะลอออกไปด้วย ขณะที่ผู้ออกหุ้นกู้ในบางอุตสาหกรรม อาทิ ภาคการท่องเที่ยว ภาคอสังหาริมทรัพย์ อาจยังไม่ได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุน โดยในปีนี้ ธนาคารยังตั้งเป้าที่จะเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ที่มียอดจัดจำหน่ายสูงสุด และมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ประมาณ 20% ของมูลค่าการเสนอขายทั้งตลาด อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังคงจับตามองและประเมินผลกระทบจากโควิด-19 ต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจ ผู้ออกหุ้นกู้ และตลาดตราสารหนี้อย่างใกล้ชิด


“ตลาดหุ้นกู้ในปีนี้แม้ต้องเผชิญกับโควิด-19 เชื่อว่าจะสามารถจำหน่ายได้ 900,000 ล้านบาท เห็นได้จากความต้องการของนักลงทุนยังมีอีกมาก แม้ในช่วงที่เกิดโควิด-19 บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่มีฐานการเงินดี ยังสามารถขายหุ้นกู้ได้ทั้งจำนวน ประกอบกับในวันพุธที่ 20 พ.ค.นี้ เชื่อว่าจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25 %หรือจาก 0.75 % เหลือ 0.50 % ทำให้นักลงทุนสนใจซื้อหุ้นกู้มากขึ้น อีกทั้งในช่วงนี้อัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้ที่ออกใหม่ มีอันดับเครดิต AAA ปรับขึ้น 0.20-0.50 % อันดับเครดิต A ปรับขึ้น 0.70-1.50 % และอันดับเครดิต BBB ปรับขึ้น 0.90-1.50 %”


ในส่วนของความเสี่ยง ปี 2563 มีหุ้นกู้ระยะยาวภาคเอกชนที่ครบกำหนดไถ่ถอนสูงถึงประมาณ 600,000 ล้านบาท (ไม่รวมหุ้นกู้ของธนาคารพาณิชย์ที่ครบกำหนดกว่า 1 แสนล้านบาท) ในส่วนนี้มีหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ BBB+ ลงมา จำนวน 180,000 ล้านบาท ซึ่งบางรายอาจมีความยากลำบากในการออกทดแทน (Rollover) หุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอน หรือแม้แต่ผู้ออกหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงกว่านี้ แต่อยู่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากโควิด-19 ก็อาจเผชิญกับความท้าทายในการออกทดแทนหรือออกหุ้นกู้ใหม่เนื่องจากความต้องการในตลาดมีไม่มากพอ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ก็จะมากขึ้น

โดยในช่วงนี้ จะเห็นได้ว่ามีผู้ออกหุ้นกู้บางรายที่ขอเลื่อนวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้กับผู้ถือหุ้นกู้แล้ว อย่างไรก็ตาม ทางธนาคารหรือแม้แต่ภาครัฐ เองก็มีมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบด้านเงินทุน รักษาสภาพคล่องของตลาดการเงิน และรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาตรการอย่างกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ (Corporate Bond Stabilization Fund: BSF) และการสนับสนุนสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงินที่ให้ความช่วยเหลือแก่กองทุนรวมตราสารหนี้ (Mutual Fund Liquidity Facility: MFLF) เพื่อลดผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ

สำหรับ BSF นั้น มีวัตถุประสงค์ให้เป็นแหล่งเงินสำรองชั่วคราวและแหล่งเงินทุนสุดท้าย (Last Resort) ซึ่งธนาคารกสิกรไทยประเมินว่า มาตรการดังกล่าวมีผลดีต่อจิตวิทยาของทั้งตลาด แต่ด้วยกลไกการให้ความช่วยเหลือที่มีรายละเอียดค่อนข้างมาก คาดว่าจะมีผู้ออกหุ้นกู้มาขอรับความช่วยเหลือผ่านช่องทางนี้ในจำนวนจำกัด ในขณะที่การใช้เงินช่วยเหลือผ่านมาตรการ MFLF ของกองทุน มีมูลค่าคงค้างสูงสุดเมื่อช่วงปลายเดือนเมษายนที่ประมาณ 56,000 ล้านบาท และยอดคงค้างล่าสุดลดลงอยู่ที่ประมาณ 50,000 ล้านบาท สะท้อนถึงภาวะสภาพคล่องที่ผ่อนคลายมากขึ้น

ในระยะต่อไป ความไม่แน่นอนจากประเด็นโควิด-19 จะเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดทิศทางของตลาด และอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ในช่วงที่เหลือของปี เมื่อใดที่การระบาดเริ่มควบคุมได้อย่างถาวร สถานการณ์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยื่งเมื่อมีการค้นพบยารักษา หรือวัคซีนโควิด-19 คาดว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนของตลาดตราสารหนี้อีกครั้ง เนื่องจากอาจผลักดันให้นักลงทุนกลับไปหาสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้นได้


นายธิติ กล่าวอีกว่า หุ้นกู้ของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับหุ้นกู้ของบริษัทเอกชนได้ เนื่องจากหุ้นกู้ของการบินไทยที่ออกจำหน่าย 70,000 ล้านบาท และมีกำหนดครบชำระในปีนี้ 6,000 ล้านบาทนั้น จัดเป็นหุ้นกู้ที่มีลักษณะเฉพาะตัวคือ หุ้นกู้ระยะสั้น และจำหน่ายให้กับนักลงทุนเฉพาะกลุ่ม อีกทั้งการบินไทยมีกระทรวงการคลังเป็นถือหุ้นใหญ่ อันดับเครดิตของหุ้นกู้อยู่ที่ A และปัญหาที่เกิดขึ้นกับการบินไทยนักลงทุนได้รับรู้ไปแล้ว ส่วนกรณีที่สหกรณ์ที่เข้าไปซื้อหุ้นกู้ของการบินไทย จะขายหุ้นกู้ที่ถืออยู่ออกมานั้น การซื้อขายหุ้นกู้ของการบินไทยต้องความชัดเจนของแผนฟื้นฟูการบินไทย ว่าจะออกมาในรูปแบบใด