“ศุภชัย” ฉะ “สาทิตย์” ช่วยย้อนดูตัวเอง ก่อนวิจารณ์คนอื่น ปมดราม่ากัญชา สับเละ ปากบอก รักเยาวชน แต่ดันเล่นเกมยื้อกฎหมาย

นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย และ ประธาน กมธ.วิสามัญ ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ. … กล่าวถึงความเห็นของนายสาทิตย์วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาให้ความเห็นกรณีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ และครู ดูแลพฤติกรรมของนักเรียนในสถานศึกษา ภายหลังมีคลิปเยาวชนเสพกัญชา ที่นายสาทิตย์ มองว่าเป็นการโยนความผิดให้ผู้อื่นนั้นว่า นายอนุทิน ไม่ได้โยนความผิดให้คนอื่น เพียงแต่ขอให้ทุกคนช่วยกันสอดส่องดูแลบุตรหลาน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่สมควรทำอยู่แล้ว ขณะที่ตำรวจ ท่านเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย ก็ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ของท่านใช่หรือไม่ นายอนุทิน ก็ได้เซ็นสารพัดประกาศของกระทรวงสาธารณสุขออกมาดูแลเรื่องการใช้กัญชา ท่านก็ทำหน้าที่ของท่าน แต่มันจะมีคนอย่างนายสาทิตย์ และพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไม่รู้จักบทบาทของตัวเอง เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ มีกฎหมายเข้าสภามาให้พิจารณา หน้าที่ท่านคือ พิจารณา แต่ดันไม่คิดจะเปิดอ่าน ขยันเล่นการเมือง สร้างเงื่อนไขให้เกิดปัญหา ตอนนี้ สังคมเขารู้แล้ว ว่าที่ดึงที่ยื้อการออก พ.ร.บ.กัญชา ก็เพื่อให้มันเกิดความไม่ราบรื่นในการเดินหน้านโยบายกัญชาเสรีทางการแพทย์ จะได้เอาไปเป็นข้ออ้างโจมตีพรรคภูมิใจไทย เพราะถ้าบริสุทธิ์ใจจริง ห่วงประชาชนจริง มันต้องเร่งให้ออก พ.ร.บ. มาคุมการใช้ เรื่องเข้าสภา มันต้องลุยกันต่อเลย ไม่ใช่มาเสนอให้ชักเข้า ชักออก ต้องมาตั้งเรื่องกันใหม่

“ภาพเด็กดูดกัญชาที่เป็นดราม่า ก็เห็นมีอยู่คลิปเดียว แล้วก็โดนตำรวจจัดการแล้ว ตอนนี้คนขายหนีหัวซุกหัวซุน แต่เอาไปพูดกันจนเหมือนสูบกันทั้งประเทศ ทุกโรงเรียนมีกลิ่นเขียวคลุ้ง ทั้งที่ความเป็นจริงยังมีคนจำนวนมากปลูกไว้รักษาโรค เป็นมุนไพร ท่านไม่พูดถึงเลย ไปตีแต่คลิป คลิปเดียว ถ้ามันสูบจนสังคมล่มสลายแบบที่นายสาทิตย์พูด ขอถามว่า ตอนนายสาทิตย์เดินออกจากบ้าน ได้กลิ่นกัญชาไหม ถามใจท่านก่อน ถ้าเทียบกัน ปัญหาจากการกินเหล้า สูบบุหรี่มากกว่าหรือไม่ เมาแล้วขับตายกันไปกี่ศพ ทำไมท่านไม่ห่วง หรือท่านห่วงเรื่องกัญชา เพราะมันทำโดยพรรคการเมือง ท่านเลยต้องไปขัดขาเขา

สิ่งที่ต้องขอขอบคุณคือ พรรคท่านส่งความเห็นมาแล้ว ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่มีอยู่ในรายงานของกรรมาธิการแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ กระบวนการต่างๆ มันล่าช้าไปแล้วเช่นกัน จากนี้ต้องดันเรื่องเข้าไปใหม่ เสียเวลา เสียโอกาส ท่านรู้แก่ใจว่าทำอะไรลงไป คิดดูว่าถ้าเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน หากท่านตัดสินใจดันให้ร่างกฎหมายไปต่อ แล้วไปพิจารณาในสภากันแบบรายมาตรา แต่ท่านกลับร่วมกันมีมติให้ถอนร่างพระราชบัญญัติออกจากระเบียบวาระ ซึ่งเมื่อเสนอเรื่องเข้าไปใหม่ ก็ต้องไปถูกบรรจุเป็นวาระใหม่ท้ายร่างพระราชบัญญัติอื่นที่ขยับขึ้นไปที่สุดก็จะล่าช้าไป แทนที่จะมีกฎหมายมาบังคับใช้โดยเร็วเพื่อคุ้มครองสังคม”