พาณิชย์ขึ้นทะเบียน 2 สินค้าจีไอใหม่ล่าสุด

  • “ผ้าไหมสาเกต-สับปะรดศรีเชียงใหม่”
  • ของดีของเด่นจังหวัดร้อยเอ็ด-หนองคาย
  • สร้างมูลค่าเะมสินค้า-ยกระดับรายได้ชุมชน

​นายสินิตย์ เลิศไกร รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้ประกาศขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) ใหม่เพิ่มอีก 2 สินค้า คือ ผ้าไหมสาเกต จังหวัดร้อยเอ็ด และสับปะรดศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย โดยทั้ง 2 สินค้า ถือเป็นสินค้าท้องถิ่นที่มีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค ซึ่งการขึ้นทะเบียนจีไอ จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและสร้างความเชื่อมั่นในแหล่งต้นกำเนิดของสินค้า สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับชุมชนจากความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สามารถผลิตได้เฉพาะท้องถิ่น

​ สำหรับผ้าไหมสาเกต มีการผลิตในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นผ้าไหมมัดหมี่ที่ทอด้วยลายพื้นบ้านโบราณ 5 ลาย ทอต่อกันในผืนเดียว เริ่มจากลายโคมเจ็ด ลายนาคน้อย ลายคองเอี้ย ลายค้ำเพา และลายหมากจับ โดยมีเอกลักษณ์สำคัญ คือ ลายนาคน้อย 12 ตัวอยู่ตรงกลาง และลายหมากจับ 3 ลำเป็นช่องไฟของลายพื้น และแต่ละลายจะทอคั่นด้วยผ้าสีชมพูอมม่วงของดอกอินทนิลบก ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดร้อยเอ็ด

​ส่วนสับปะรดศรีเชียงใหม่ ปลูกในเขตพื้นที่อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย เป็นสับปะรดพันธุ์ปัตตาเวีย มีผลทรงรี ร่องตาตื้น ก้านสั้น เปลือกบาง เนื้อสับปะรดมีเส้นใยละเอียดและมีสีเหลืองเข้มหรือสีน้ำผึ้ง มีกลิ่นหอม รสชาติหวานฉ่ำ แกนหวานกรอบ รับประทานแล้วไม่กัดลิ้น

​ด้านนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า ปัจจุบัน กรมทรัพย์สินทางปัญญาขึ้นทะเบียนสินค้าจีไอไทยครบทั้ง 77 จังหวัดแล้ว รวม 156 สินค้า สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 40,000 ล้านบาท ความสำเร็จดังกล่าวช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชนในพื้นที่ด้วยสินค้าจีไอ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าชุมชนท้องถิ่น ช่วยผู้ประกอบการและเกษตรกรรายย่อยไม่ให้ถูกกดราคาสินค้าเกษตร ยกระดับกระบวนการผลิตสินค้าอัตลักษณ์พื้นถิ่นของไทยให้มีคุณภาพมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค โดยในปี 65 กรมได้ตั้งเป้าหมายขึ้นทะเบียนจีไอไทยเพิ่มอีก 18 สินค้า

​”ในช่วงต้นเดือนพ.ค.65 รมช.พาณิชย์จะลงพื้นที่พบปะผู้ประกอบการสินค้าผ้าไหมสาเกต เพื่อมอบใบประกาศการขึ้นทะเบียนจีไอให้แก่ผู้แทนจังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมผลักดันให้มีการจัดทำระบบควบคุมมาตรฐานสินค้าจีไอ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค ตลอดจนส่งเสริมช่องทางการจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดยุคใหม่ผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อให้สินค้าไทยสามารถเข้าถึงผู้บริโภคอย่างทั่วถึง สร้างรายได้สู่ชุมชน และสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืน”