ปตท.สผ.โชว์รายได้ไตรมาส 3 กระเตื้อง โกยกำไร 230 เหรียญฯ

  • เติบ โต 72% จากไตรมาสก่อนหน้า
  • อานิสงส์ ปริมาณการขายปิโตรเลียมที่สูงขึ้น 5%
  • ราคาขายเฉลี่ยปรับตัวดีขึ้นแต่ ยอดรวม 9 เดือน กำไรหด 46%

นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่าเมื่อไตรมาส 3ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมจากการดำเนินงาน 40,887 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ซึ่งมีรายได้รวม 34,954 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักจากปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 344,317 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับ 327,004 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากผู้ซื้อเรียกรับก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในโครงการบงกชและโครงการคอนแทร็ค 4

สำหรับราคาขายผลิตภัณฑ์ของ ปตท.สผ. ในไตรมาส 3 นี้ เฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นกว่า 11% มาอยู่ที่ 38.77 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ เมื่อเทียบกับ 34.97 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ในไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้ฯ จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ ปตท.สผ. มีกำไรในไตรมาส 3 รวม7,202 ล้านบาท สูงขึ้น 72% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งมีกำไร 4,323 ล้านบาท โดยบริษัทยังคงสามารถรักษาระดับต้นทุนต่อหน่วยที่ 30 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ และมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา(อีบิทดา) ที่ 71% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

ทั้งนี้ ผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัท มีรายได้รวม 128,369 ล้านบาท ลดลง 11% จาก 143,115 ล้านบาท เมื่อทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีกำไร 20,137 ล้านบาท และผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ดีกว่าไตรมาสที่2 โดยเป็นผลจากความต้องการใช้น้ำมันดิบ ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจากการที่หลายๆประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองจาก โควิด-19 และประเทศในองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันออกและประเทศพันธมิตร (โอเปก พลัส) ยังคงยืนนโยบายลดกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันบริษัท ได้เริ่มเจาะหลุมประเมินผล เพื่อประเมินศักยภาพปิโตรเลียม ในแปลงซาราวัก เอสเค 410 บี ประเทศมาเลเซีย หลังจากที่ได้ทำการเจาะหลุมสำรวจในปีที่ผ่านมาและค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของ บริษัทและเป็นแหล่งที่ใหญ่อันดับ 7 ของโลกในปี ที่ผ่านมา ซึ่งผลการเจาะน่าจะทราบภายในปีนี้ และจะผลักดันให้สามารถตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (เอฟไอดี) ให้ได้ในปี 2565