ดาวโจนส์เคลื่อนไหวติดลบกว่า275จุด ราคาน้ำมันดิบพุ่ง

.ราคาน้ำมันพุ่งสูงสุดในรอบหกปี รอการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก)
.ดัชนีภาคบริการ(ISM)ปรับตัวลงสู่ระดับ 60.1 ในเดือนมิ.ย.ต่ำกว่าที่คาด
.ตลาดขายหุ้นทำกำไร ลดความเสี่ยงจับตาการเปิดเผยรายงานประชุมเฟด-เศรษฐกิจ

เมื่อเวลา 21.45 น. ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่34,510.98 จุด
ลดลง 275.37 จุดหรือ -0.79ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส บวกเพิ่มขึ้น 10.36 จุดเคลื่อนไหวที่ 14,649.69 จุด หรือ+0.07%ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 4,332.94 จุดลดลง 19.40 หรือ -0.45%

นักลงทุนติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบหกปี หลังจากที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ได้ตัดสินใจเลื่อนการประชุมออกไปโดยไม่มีกำหนด เนื่องจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ปฏิเสธข้อเสนอการขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิต

โดยในการประชุมเมื่อวานนี้ (5 ก.ค.)ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ยังไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับนโยบายการผลิตน้ำมัน ซึ่งข่าวดังกล่าวส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนส.ค. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาด NYMEX พุ่งขึ้นไปแตะที่ 76.98 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2557

ตลาดรับแรงกดดันจากหุ้น ตีตี โกลบอล อิงค์ (Didi Global Inc) ซึ่งเป็นผู้บริหารแอปพลิเคชันเรียกรถโดยสารตีตีชูสิง (DiDi Chuxing) ร่วงลงไปถึงเกือบ 25% หลังจากที่สำนักบริหารไซเบอร์สเปซแห่งประเทศจีน (CAC) ดำเนินการตรวจสอบตีตี โกลบอล เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (2 ก.ค.) ซึ่งเกิดขึ้นเพียงสองวัน หลังจากที่หุ้นตีตี โกลบอลเปิดทำการซื้อขายวันแรกในตลาดหุ้นสหรัฐ และต่อมาในวันอาทิตย์ที่ 4 ก.ค. CAC มีคำสั่งให้ถอดแอปพลิเคชันตีตีชูสิงออกจากแพลตฟอร์มแอปสโตร์ของจีน โดยอ้างว่า ตีตีชูสิงทำการเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายของจีน

ด้านข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 60.1 ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 64.0 ในเดือนพ.ค. ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ระดับ 63.5

โดยได้รับผลกระทบจากการจ้างงานที่หดตัว โดยดัชนีการจ้างงานในภาคบริการลดลงแตะ 49.3 ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 55.3 ในเดือนพ.ค. ขณะที่คำสั่งซื้อใหม่ลดลงแตะที่ 62.1 จาก 63.9

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการเปิดเผยรายงานการประชุมเดือนมิ.ย.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันพุธที่ 7 ก.ค.ตามเวลาสหรัฐ ติดตามแนวโน้มนโยบายการเงิน-ดอกเบี้ย