ดาวโจนส์ปรับลดลงกว่า 50 จุด รอผลเฟด-ผลประกอบการบริษัท

.นักลงทุนชะลอการซื้อขายรอดูสถานการณ์ก่อนเฟดจะเปิดเผยผลการประชุมนโยบายการเงินในคืนนี้
.ตลาดจับตาภาวะเศรษฐกิจ-หวั่นนโยบายการเงินเปลี่ยนเร็วกว่ากำหนด
.ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังมีแนวโน้มสดใส

เมื่อเวลา 21.55 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ระดับ 35,019.99 จุด ลดลง 55.85 จุด หรือ
-0.16% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 14,766.47 จุด เพิ่มขึ้น 105.90 จุด หรือ +0.72% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 4,405.89 จุด เพิ่มขึ้น 3.33 จุดหรือ +0.08%

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แกว่งตัวแคบ นักลงทุนรอดูสถานการณ์ก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเปิดเผยผลการประชุมนโยบายการเงินในคืนนี้ หลังจากที่เฟดมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่ากำหนด ซึ่งทำให้ตลาดการเงินกังวลในการประชุมเดือนที่แล้ว
โดยเฟดได้ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566 ซึ่งเร็วกว่าคาดถึง 1 ปี นอกจากนี้ เฟดยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อในปีนี้สู่ระดับ 3.4% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือนมี.ค.ที่ระดับ 2.4%

นักวิเคราะห์คาดการณ์ไทม์ไลน์ของเฟดว่า เฟดจะเริ่มปรับลด QE ในเดือนม.ค.2565 โดยจะปรับลดวงเงิน QE เดือนละ 20,000 ล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันที่เฟดทำ QE วงเงิน 120,000 ล้านดอลลาร์/เดือน ซึ่งจะทำให้เฟดใช้เวลา 6 เดือนในการปรับลด QE จนเหลือ 0 หมายความว่าเฟดจะยุติการทำ QE โดยสิ้นเชิงในช่วงกลางปี 2565 และเฟดจะพักการดำเนินการเป็นเวลา 1 ปีเพื่อให้ตลาดปรับตัว ก่อนที่จะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 2566

ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยจากจำนวนบริษัทในดัชนี S&P 500 ที่ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาส 2 แล้ว พบว่า 89% มีกำไรสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ 86% มีรายได้สูงกว่าคาด

ทั้งนี้ ราคาหุ้นของบริษัทโบอิ้งพุ่งขึ้นกว่า 6% ในวันนี้ หลังจากที่บริษัทสามารถทำกำไรเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ปี โดยได้อานิสงส์จากการส่งมอบเครื่องบินพาณิชย์จำนวนมาก ขณะที่อุตสาหกรรมการบินเริ่มฟื้นตัวขึ้นจากวิกฤตการณ์โควิด-19

ไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยาใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เปิดเผยว่า ทางบริษัทมีกำไรและรายได้สูงกว่าคาดในไตรมาส 2 โดยได้ปัจจัยหนุนจากยอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 โดยบริษัทมียอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 สูงถึง 7.8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 และบริษัทได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ยอดขายวัคซีนในปีนี้สู่ระดับ 3.35 หมื่นล้านดอลลาร์ จากเดิมที่ระดับ 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ ไฟเซอร์มีกำไร 1.07 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 2 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.97 ดอลลาร์/หุ้น นอกจากนี้ บริษัทมีรายได้ 1.898 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.874 หมื่นล้านดอลลาร์

ขณะที่หุ้นเทคโนโลยีปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องส่งผลให้ดัชนีหุ้นแนสแด็กอยู่ในแดนบวก บริษัทแอปเปิล อิงค์ของสหรัฐรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2564 ที่แข็งแกร่งเกินคาดในวันอังคาร (27 ก.ค.) โดยยอดขายผลิตภัณฑ์หลักๆ ของแอปเปิลทุกตัว เพิ่มขึ้นมากกว่า 12% เมื่อเทียบเป็นรายปี ยอดขายรวมของแอปเปิล เพิ่มขึ้น 36% จากไตรมาส 3 ของปีที่แล้ว โดยยอดขายไอโฟน เพิ่มขึ้นเกือบ 50% เมื่อเทียบรายปี

ขณะที่ อัลฟาเบทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิลรายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2564 โดยเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 2/2564 อยู่ที่ 27.26 ดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขประมาณการของ Refinitiv ที่ 19.34 ดอลลาร์ต่อหุ้น ขณะที่รายได้อยู่ที่ 6.188 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขประมาณการที่ 5.616 หมื่นล้านดอลลาร์

ด้านการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐยังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2/2564 ในวันพรุ่งนี้

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 8.5% ในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นการขยายตัวมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2526 และพุ่งขึ้นจากระดับ 6.4% ในไตรมาส 1 ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัว 7.0% ในปีนี้ ซึ่งจะเป็นการขยายตัวสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2527 หลังจากหดตัว 3.5% ในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดในรอบ 74 ปี