ซูเปอร์โพล “ประชาธิปัตย์”นำโด่ง! ประชาชนเชื่อมั่นพรรคเก่าแก่

  • “ภูมิใจไทย” เป็นหลักแก้ทุกข์ประชาชน
  • ฐานสนับสนุนรัฐบาลลดลงเหลือ 36.7%
  • เผยคนอยากเปลี่ยนนายกฯ

วันนี้ 30 เม.ย.2566 สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจ เรื่อง “สุดขั้วการเมือง” กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศอายุ 18 ปีขึ้นไป ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 25 – 29 เมษายน พ.ศ.2566 โดยผลสำรวจพบแนวโน้มของกลุ่มพลังเงียบขออยู่ตรงกลาง เริ่มกระจายตัวออกไปยังขั้วการเมืองต่าง ๆ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติคือ จากร้อยละ 36.4 ในช่วงปลายเดือนมีนาคม ลดลงเหลือร้อยละ 27.5 ในช่วงปลายเดือนเมษายน และพบว่าได้กระจายตัวฐานสนับสนุนไปยังขั้วการเมืองที่ไม่สนับสนุนรัฐบาลมากกว่า คือ จากร้อยละ 24.5 ในช่วงปลายเดือนมีนาคม เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 35.8 ที่ไม่สนับสนุนรัฐบาลในช่วงปลายเดือนเมษายน โดยฐานสนับสนุนรัฐบาลลดลงจากร้อยละ 39.1 ในช่วงปลายเดือนมีนาคม ลงมาอยู่ที่ร้อยละ 36.7 ในการสำรวจล่าสุด

อย่างไรก็ตาม ที่น่าสนใจคือ เมื่อสอบถามประเด็นความเชื่อมั่นต่อพรรคการเมืองเป็นสถาบันการเมืองเก่าแก่ พบว่าในกลุ่มขั้วรัฐบาลร้อยละ 51.1 ระบุเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 32.1 ระบุเป็นพรรคภูมิใจไทย และร้อยละ 21.6 ระบุพรรคพลังประชารัฐ ในขณะที่กลุ่มขั้วฝ่ายค้าน ร้อยละ 45.0 ระบุเป็นพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 22.0 ระบุเป็นพรรคก้าวไกล และร้อยละ 3.1 ระบุอื่น ๆ

เมื่อถามถึง พรรคการเมืองที่เป็นหลักแก้ไขปัญหาเดือดร้อนของประชาชน แบ่งออกระหว่างกลุ่มขั้วต้องการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีกับกลุ่มขั้วที่ไม่ต้องการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี พบว่า ร้อยละ 76.8 ที่ระบุพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคการเมืองหลักแก้ไขปัญหาเดือดร้อนของประชาชนต้องการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี ในขณะที่ร้อยละ 23.2 ไม่ต้องการเปลี่ยน

อย่างไรก็ตาม แม้แต่กลุ่มขั้วที่ระบุพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคหลักแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชนร้อยละ 29.2 ต้องการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี แต่ร้อยละ 70.8 ไม่ต้องการ นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 65.4 ที่ระบุพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองหลักแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชนต้องการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี ในขณะที่ร้อยละ 34.6 ไม่ต้องการ และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 61.0 ที่ระบุ พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคการเมืองหลักแก้ไขปัญหาเดือดร้อนของประชาชนต้องการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีเช่นกัน นอกจากนี้ในขั้วการเมืองฝ่ายค้านพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 92.8 ที่ระบุพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคหลักแก้ไขปัญหาเดือดร้อนของประชาชนต้องการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี และร้อยละ 73.4 ที่ระบุพรรคก้าวไกลเป็นพรรคการเมืองหลักแก้ไขปัญหาเดือดร้อนของประชาชนต้องการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีเช่นกัน