ดาวโจนส์ปิดร่วง 530 จุด กังวลดอกเบี้ยสหรัฐฯ สูงนานกว่าคาด

  • เจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชี้ยังไม่ควรเร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยโดยเร็ว
  • มีแรงเทขายหุ้นต่อเนื่อง หลังราคาน้ำมันพุ่ง หนุนเงินเฟ้อคงตัวในระดับสูง
  • นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจ-ก่รจ้างงานนอกภาคเกษตร

นักลงทุนกังวลเฟดอาจจะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2566 และส่งแรงขายหุ้นออกมาต่อเนื่อง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 4 เม.ย.ที่ 38,596.98 จุด ลดลงแรง 530.16 จุด หรือ -1.35%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,147.21 จุด ลดลง 64.28 จุด หรือ -1.23% และดัชนี แนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 16,049.08 จุด ลดลง 228.38 จุด หรือ -1.40%

ดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีร่วงลงกว่า 1% โดยดาวโจนส์ดิ่งลงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2566 หลังคาดการณ์เฟดอาจไม่ลดดอกเบี้ยครั้งแรกของปีนี้ในเดือนมิ.ย.อย่างที่คาดการณ์ไว้เดิม

ทั้งนี้ นายนีล แคชแครี ประธานเฟดสาขามินนีแอโพลิสได้แสดงความเห็นล่าสุดเมื่อวานนี้ว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจจะไม่เกิดขึ้นในปีนี้ หากเงินเฟ้อของสหรัฐไม่ชะลอตัวลงตามที่เฟดคาดหวังไว้ พร้อมกับกล่าวว่าในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ในการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 20 มี.ค.ที่ผ่านมานั้น เขาเป็นหนึ่งในกรรมการเฟดที่คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ แต่ขณะนี้เขามองว่าหากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น

ขณะที่นายโทมัส บาร์กิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ กล่าวสนับสนุนให้เฟดใช้เวลามากขึ้นในการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจก่อนที่จะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยเขามองว่าการที่เศรษฐกิจมหภาคและตลาดแรงงานของสหรัฐมีความแข็งแกร่งมากในขณะนี้ ทำให้เฟดจำเป็นต้องจับตาทิศทางเงินเฟ้ออย่างระมัดระวัง

นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาต่อเนื่อง แม้ตลาดแรงงานเริ่มชะลอความร้อนแรง โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่าตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 9,000 ราย สู่ระดับ 221,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 213,000 ราย

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.9% สู่ระดับ 6.89 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.พ. ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.73 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนการนำเข้าเพิ่มขึ้น 2.2% สู่ระดับ 3.319 แสนล้านดอลลาร์ และการส่งออกเพิ่มขึ้น 2.3% สู่ระดับ 2.630 แสนล้านดอลลาร์

ตลาดยังได้แรงกดดันจากการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันจะยิ่งทำให้เงินเฟ้อของสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น โดยขณะนี้ราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้นทะลุระดับ 86 ดอลลาร์/บาร์เรลแล้ว ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ ระบุว่า การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบอาจจะทำให้เฟดเผชิญกับความยากลำบากมากขึ้นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ พร้อมกับคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นต่อเนื่องจนถึงฤดูการขับขี่ยานยนต์ในช่วงฤดูร้อนของสหรัฐ และคาดว่าตลาดทั่วโลกจะเผชิญกับภาวะขาดแคลนน้ำมันดิบในปริมาณ 450,000 บาร์เรล/วัน

หุ้นทุกกลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง 1.7% ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ปรับตัวลง 0.9% และ 0.6% ตามลำดับ

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนมี.ค.ของสหรัฐในวันนี้ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้นเพียง 205,000 ตำแหน่ง ซึ่งชะลอตัวลงหลังจากที่เพิ่มขึ้น 275,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 3.9% ในเดือนมี.ค.