GULF กำไรปี 66 กว่า 1.56 หมื่นล้าน คาดปี 67 รายได้รวมโต 25-30%

กัลฟ์ เผยปี 66 มีรายได้รวมอยู่ที่ 116,951 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากปีก่อน มีกำไรอยู่ที่ 15,644 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% ตั้งเป้าปี 67 ทำาายได้รวมเติบโต 30%

  • ชี้มาจากเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ GPD หน่วยที่ 3 และ 4 มีกำลังการผลิตรวม 1,325 เมกะวัตต์ 
  • อัปเดตธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เปิดให้บริการเต็มรูปแบบแล้ว ตั้งเป้าส่วนแบ่งตลาดที่ 30% ในปีนี
  • ด้านธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา มีแผนร่วมทุนกับพันธมิตรที่มีทั้งช่องทาง ฐานลูกค้าและข้อมูล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ได้รายงานผลการดำเนินงานปี66 มีรายได้รวม 116,951 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จาก 95,076 ล้านบาทในปี65 และมีกำไร 15,644 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% จาก 12,098 ล้านบาท สาเหตุมาจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น จากโครงการกัลฟ์ ปลวกแดง โรงไฟฟ้าภายใต้กลุ่ม IPD หน่วยที่ 1 และ 2 รวมกำลังการผลิต 1,325 เมกะวัตต์ โดยมี Load Factor เฉลี่ยที่ 90% ในปี66 โครงการโรงไฟฟ้า DIPWP ในประเทศโอมานที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ครบทั้ง 326 เมกะวัตต์เมื่อต้นปี66 โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม Mekong ในเวียดนามที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ครบทั้ง 128 เมกะวัตต์ในเดือน ก.ค.66 รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ภายใต้ GULF1 ซึ่งทยอยเปิดดำเนินการไปแล้วจำนวน 110 เมกะวัตต์ ประกอบกับการรับรู้รายได้เต็มปีของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD ที่เปิดดำเนินการครบทั้ง 4 หน่วยเรียบร้อยแล้ว จำนวนรวม 2,650 เมกะวัตต์ ตั้งแต่ปลายปี65

นอกจากนี้ ธุรกิจพลังงานยังเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดย SPP 12 โครงการภายใต้กลุ่มGMP มีกำไรเพิ่มขึ้นจาก 1,435 ล้านบาทในปี65 เป็น 3,097 ล้านบาทในปี66 เพิ่มขึ้น 1,661 ล้านบาทหรือ 116% จากปีก่อนหน้า ผลจากการขายไฟฟ้าให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม ซึ่งราคาค่าก๊าซเฉลี่ยปรับตัวลดลงจาก 494.8 บาท/ล้านบีทียูในปี65 เป็น 385.4 บาท/ล้านบีทียูในปี66 ขณะที่ค่า Ft เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 0.40 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมงในปี65 เป็น 0.89 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมงในปี66 อีกทั้ง โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 3 โครงการภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation รับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit เพิ่มขึ้น 174% จากจำนวน 324 ล้านบาทในปี65 เป็น 889 ล้านบาทในปี66 ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้ผลการดำเนินงานเต็มปีของโครงการดังกล่าว โดยGULF ได้เข้าลงทุนไปเมื่อเดือนก.ค.65 ประกอบกับโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล GCG มีกำไรที่เพิ่มขึ้นจาก 170 ล้านบาท ในปี65 เป็น263 ล้านบาทในปี66 หรือเพิ่มขึ้น 55% จากต้นทุนราคาไม้เฉลี่ยที่ลดลงจาก 1,036 บาท/ตันในปี65 เป็น 869 บาท/ตันในปี66 ขณะที่ราคาค่า Ft ขายส่งเฉลี่ยที่สูงขึ้นจาก 0.25 บาท/กิโลวัตต์ในปี 2565 เป็น 0.72 บาท/กิโลวัตต์ในปี 66

ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 ธ.ค 66 GULF มีสินทรัพย์รวม 459,514 ล้านบาท หนี้สินรวม 315,410 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 144,104 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) อยู่ที่ 1.69 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 1.56 เท่า ณ วันที่ 31 ธ.ค.65 โดยการเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลมาจากจำนวนหนี้สินระยะยาวที่เพิ่มขึ้นจากการออกและจำหน่ายหุ้นกู้จำนวน 35,000 ล้านบาท ในปี66 ประกอบกับการเบิกเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพื่อลงทุนในโครงการ GPD

น.ส.ยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF เปิดเผยว่า รายได้รวมของปี67 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 25-30% จากปี 66 จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ GPD หน่วยที่ 3 และ 4 ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 1,325 เมกะวัตต์ โดยมีกำหนดเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าในเดือนมี.ค. และ ต.ค.67 ตามลำดับ รวมทั้งการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติหินกองหน่วยที่ 1 ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 770 เมกะวัตต์ ซึ่งมีกำหนดเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าในเดือน มี.ค.67 นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา ของกลุ่ม GULF1 จะทยอยเปิดดำเนินการเพิ่มอีกจำนวน 120 เมกะวัตต์ในปีนี้ ในขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน ภายในประเทศ มีแผนที่จะทยอยเปิดให้ดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มอีก 5 โครงการในปลายปี67โดยมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 532 เมกะวัตต์

นางสาวยุพาพิน กล่าวต่อว่า GULF เล็งเห็นถึงความสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก(Decarbonization) ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของภาครัฐในปัจจุบันที่จะมุ่งสู่พลังงานสะอาด โดยในปี66 ที่ผ่านมา บริษัทได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. เพื่อพัฒนาและดำเนินโครงการ Solar Farms และ Solar BESS จำนวนรวม 24 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งไฟฟ้าตามสัญญารวมทั้งสิ้น 2,396 เมกะวัตต์ โดยมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ระหว่างปี67-72  รวมถึงลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟภ. เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมจำนวน 2 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 20 เมกะวัตต์ ซึ่งทั้ง 2 โครงการมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2569 ทั้งนี้ ณ ปัจจุบันGULF มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งจากพลังงานหมุนเวียนที่เปิดดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างการพัฒนารวมทั้งสิ้น 8,211 เมกะวัตต์ และพร้อมมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมอีกไม่ต่ำกว่า 3,000 เมกะวัตต์ เพื่อบรรลุเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้ไม่น้อยกว่า 40% ของกำลังการผลิตทั้งหมดภายในปี78 จากโครงการ Solar Rooftop, Solar Farms, Solar BESS พลังงานลม พลังงานน้ำ และพลังงานขยะอุตสาหกรรม ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ผ่านรูปแบบการลงทุนใหม่ (Greenfield) การเจรจาการร่วมทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจ และการเข้าซื้อกิจการ (M&A) 

น.ส.ยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF

นอกจากนี้ ในปลายเดือน ก.พ.นี้ GULF จะนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เพื่อใช้ผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าหินกองหน่วยที่ 1 กำลังการผลิต 770 เมกะวัตต์ ซึ่งนับเป็นเอกชนรายแรกของประเทศไทยที่นำ LNG โดยการนำเข้า LNG นี้เป็นไปตามแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติของประเทศ อันจะช่วยลดความเสี่ยงในการจัดหาก๊าซธรรมชาติ และเพิ่มความมั่นคงทางด้านพลังงานให้กับประเทศอีกด้วย ในส่วนของความคืบหน้าของโครงการภายใต้ธุรกิจดิจิทัลยังคงเป็นไปตามแผน โดยธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล(Digital Asset Exchange) ภายใต้แพลตฟอร์ม Binance TH by Gulf Binance ได้เปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบแก่ผู้ใช้งานทั่วไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 16 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าหมายส่วนแบ่งตลาดที่ประมาณ30% ในปี67 ในขณะที่ธุรกิจศูนย์ข้อมูลนั้นอยู่ระหว่างก่อสร้างและมีแผนที่จะเปิดให้บริการเฟสแรกในไตรมาสที่ 1 ปี68 จำนวน 20 เมกะวัตต์

อย่างไรก็ดี ปัจจัยบวกดังกล่าวบางส่วนถูกชดเชยโดยส่วนแบ่งกำไรที่ลดลงของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งทะเล Borkum Riffgrund 2 (BKR2) ที่ประเทศเยอรมนี เนื่องจาก GULF ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการนี้ลงจาก 50.00% เหลือ 24.99% โดยจำหน่ายหุ้นในสัดส่วน 25.01% ให้กับ Keppel Group เมื่อเดือน ธ.ค. 65 ทั้งนี้ ในปี66 GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จาก PTT NGD จำนวน 396 ล้านบาท ซึ่งพลิกจากผลขาดทุนจำนวน 128 ล้านบาทในปี65 จากราคาต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จำนวน 241 ล้านบาท จากโครงการบริหารจัดการท่าเทียบเรือสาธารณะเพื่อขนถ่ายสินค้าเหลว ที่ได้เข้าลงทุนในเดือน ธ.ค.65 อีกด้วย นอกจากนี้ GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร จากการลงทุนใน INTUCH 6,101 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,445 ล้านบาทหรือ 31% จาก 4,656 ล้านบาทเมื่อปี65 ผลจากการปะกอบกิจการของ AIS ทั้งนี้ GULF มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย 35,370 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับ 29,138 ล้านบาทในปี65 และกำไรสุทธิอยู่ที่ 14,858 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จาก 11,418 ล้านบาทในปี65

สำหรับธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) GULF มีแผนร่วมทุนกับพันธมิตรที่มีทั้งช่องทาง ฐานลูกค้าและข้อมูล โดยจะนำเทคโนโลยีมาช่วยดำเนินการและสร้างบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ๆ ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการให้บริการ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าที่อยู่นอกระบบธนาคารพาณิชย์ และจะส่งผลให้ Virtual Bank เติบโตได้ในอนาคต ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติเห็นชอบให้นำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี67 ในวันที่ 4 เม.ย.67 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทประจำปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2566 ในอัตรา 0.88 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 78.1 โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล ในวันที่ 29 ก.พ.67 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 25 เม.ย.67