ธนาคารกลางญี่ปุ่น ปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 17 ปี

ธนาคารกลางญี่ปุ่นประกาศขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 17 ปี มาอยู่ที่ระดับ 0-0.1% พร้อมยกเลิกมาตรการควบคุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตร

  • สิ้นสุดดอกเบี้ยติดลบที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2559
  • ถือเป็นการกลับทิศนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย
  • เป็นการส่งสัญญาณการปรับนโยบายการเงินปกติ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2567มีมติไม่เป็น เอกฉนัท์(7-2)ปรับขนึ้ดอกเบยี้นโยบายครง้ัแรกในรอบ17ปีหรอืนบัตงั้แต่ ปี 2550 จากระดับ -0.1% มาอยู่ที่ระดับ 0-0.1% พร้อมทั้งประกาศยุติ มาตรการควบคุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (yield curve control) และยุตกิารเข้าซ้ือกองทุนETFsและREITsแต่ยังคงรักษาระดับการเข้าซอ้ื พันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นไวใ้นปริมาณใกล้เคียงเดิม 

และการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ ในครั้งนี้ถือเป็นการสิ้นสุดดอกเบี้ยติดลบที่ ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2559 และถือเป็นการกลับทิศนโยบายการเงินแบบผ่อน คลายอย่างมาก (Ultra loose monetary policy) ที่ดำเนินมายาวนาน อย่างไรก็ดี จากถ้อยแถลงของ BOJ สะท้อนว่า BOJ จะยังคงนโยบาย การเงินแบบผ่อนคลายอยู่ และจะไม่ได้ปรับทิศนโยบายการเงินมาเป็นแบบ ตึงตัวดังเช่นในสหรัฐฯ และยุโรป 

การปรับขึ้นค่าจ้างประจำปี2567ที่5.28%สูงสุดในรอบกว่า 30 ปีเป็นตัว แปรหลักในการตัดสินใจของธนาคารญี่ปุ่น ทั้งนี้ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ของญ่ีปุ่นจะสูงกว่ากรอบเป้าหมาย 2% ของ BOJ มานานกว่า 1 ปีแล้ว แต่ BOJ ก็ไม่ได้เปลี่ยนจุดยืนจากการดาเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย พิเศษในช่วงที่ผ่านมา โดยย้ำว่าผลของการเจรจาค่าจ้างในปีนี้เป็นหนึ่งใน ปัจจัยสาคัญที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจของBOJซึ่งหลังจากรัฐบาลญี่ป่นุได้ ร้องขอให้ภาคเอกชนปรับขึ้นอัตราค่าจ้างให้แก่พนักงานเพ่ือกระตุ้นเศรษฐกิจ ล่าสุด การเจรจาอัตราค่าจ้างประจาปีของสภาสหภาพการค้าญ่ีปุ่น (Rengo) ซึ่งเป็นองค์กรด้านแรงงานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีผลทำให้มีการปรับ ขึ้นค่าจ้างโดยเฉลี่ยที่ 5.28% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นค่าจ้างที่สูงสุดในรอบกว่า 30 ปี ซึ่งการปรับขึ้นค่าจ้างครั้งนี้คาดว่าจะก่อให้เกิดแรงกดดันเงินเฟ้อด้าน อุปสงค์ ส่งผลให้คาดว่าเงินเฟ้อพื้นฐานของญี่ปุ่นในปี 2567 จะเฉลี่ยอยู่ที่ ราว 2.3% 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การปรับทิศนโยบายการเงินของญี่ปุ่นรอบนี้เป็น การส่งสัญาณการปรับนโยบายการเงินใหเ้ป็นปกติและเป็นจุดุตั้งต้นให้การ เติบโตของเศรษฐกิจญี่ปุ่นเดินหน้าอย่างยั่งยืนโดยไม่ต้องมีนโยบายการเงิน แบบผ่อนคลายอย่างมาก (Ultra loose monetary policy) คอยประคอง เศรษฐกิจญี่ปุ่นที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างมายาวนาน ทั้งประชากรสูงวัย การต่อยอดอุตสาหกรรมในเทคโนโลยีในอนาคต บริษัทที่ไม่มีความสามารถ ในการทำกำไรทั้งในปัจจุบันและอนาคต (Zombie firms) ที่มีอยู่มาก ซึ่งยัง เป็นประเด็นที่มีผลต่อทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในระยะข้างหน้า ประกอบกับหนี้สาธารณะที่อยู่สูงกว่า 260% ของ GDP ทำให้ปัจจัยเหล่าน้ี ยังคงเป็นข้อจำกัดของธนาคารกลางญี่ปุ่นในการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายใน ระยะต่อไป ดังนั้น ทิศทางนโยบายการเงินของญี่ปุ่นในระยะข้างหน้าคาดว่า จะยังคงมีแนวโน้มผ่อนคลายอยู่ แม้มีความเป็นไปได้ท่ี BOJ อาจปรับข้ึน ดอกเบ้ียนโยบายเพิ่มเติมในปีนี้ 

ทั้งนี้จากถ้อยแถลงของBOJที่ยังค่อนข้างผ่อนคลาย(Dovish)โดยระบวุ่า BOJ จะยังคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอยู่ ส่งผลให้หลังจากการ ประชุม ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงราว 0.5% เทียบกับดอลล่าร์สหรัฐ โดยอยู่ที่ 

ระดับ 149.9 เยนต่อดอลล่าร์สหรัฐ เข้าใกล้ระดับ 150 เยนต่อดอลล่าร์สหรฐั จากราคาเปิดตลาดที่ระดับ 149.15 เยนต่อดอลล่าร์สหรัฐ ขณะที่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปี ปรับลดลงราว -3 bps มาอยู่ ที่ 0.74% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้น Nikkei ตอบรับในเชิงบวกหลังการประกาศ ผลการประชุมโดยปรับเพ่ิมขึ้น285.59จดุ หรือ0.72%สู่ระดับ39,908.17 จดุ เทียบกับเปิดตลาดที่ 39,622.58จดุ