แอปเปิล จัดงาน Apple Event ซึ่งเป็นงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ซึ่งปกติในเวลานี้เป็นที่ทราบกันดีว่าจะเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่เป็นประจำทุกปี แต่ในปีนี้ค่อนข้างแปลกเพราะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพียง 2 ชนิดเท่านั้นโดย iPhone 12 ถูกคาดว่าจะเปิดตัวในเดือนตุลาคม ด้วยการแนะนำ Apple Watch และ iPad พร้อมเปิดบริการใหม่ Fitness+ สำหรับผู้ชื่นชอบการออกกำลังการ และ Apple One สำหรับการสมัครสมาชิกเพื่อใช้บริการของ Apple ได้ทั้งหมด
เริ่มต้นเมื่อเวลาเที่ยงคืนของคืนวันที่ 15 กันยายนตามเวลาประเทศไทย โดย “ทิม คุก” ซีอีโอ ของ Apple ได้เป็นผู้เปิดงาน จากนั้นได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เริ่มจาก Apple Watch Series 6 เป็นประจำกับกับแนะนำคุณสมบัติใหม่ๆ และเทคโนโลยีใหม่ๆ กับจุดเด่นใหม่ที่สำคัญคุณสมบัติการวัดออกซิเจนในเลือดที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจสุขภาพโดยรวมของตนได้ดียิ่งขึ้น มาตรวัดความสูงแบบทำงานตลอด
Apple Watch Series 6
รุ่นที่มีสีสันสดใส พร้อมตัวเรือนและสายแบบใหม่ในพาเลตสีสันสวยงาม watchOS 7 มีคุณสมบัติ “การตั้งค่าครอบครัว” การติดตามการนอนหลับ การตรวจจับการล้างมืออัตโนมัติ การออกกำลังกายประเภทใหม่ๆ และความสามารถในการจัดการและแชร์หน้าปัดนาฬิกา ซึ่งช่วยให้ลูกค้าใช้ชีวิตแบบแอ็คทีฟได้มากขึ้น ต่อติดกับทุกเรื่องเสมอ และจัดการสุขภาพของตนได้ดีขึ้นด้วยวิธีใหม่ๆ
โปรเซสเซอร์แบบ Dual-core ที่ใช้ A13 Bionic ใน iPhone 11 จึงทำให้ SiP รุ่น S6 ที่อัพเกรดใหม่สามารถทำงานได้เร็วขึ้นถึง 20% ซึ่งช่วยให้แอพเปิดได้เร็วขึ้น 20% ด้วย ขณะที่ยังคงมีแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน 18 ชั่วโมง
ราคาและการวางจำหน่าย
- Apple Watch Series 6 (รุ่น GPS) จะวางจำหน่ายในเร็วๆนี้ ในราคาเริ่มต้นที่ 13,400 บาท และ Apple Watch Series 6 (รุ่น GPS + Cellular) ราคาเริ่มต้นที่ 16,900 บาท
- watchOS 7 จะเปิดให้ใช้งานสำหรับ Apple Watch Series 3 และใหม่กว่าในวันที่ 17 กันยายน และต้องใช้ iPhone 6s หรือใหม่กว่าที่มี iOS 14 คุณสมบัติบางประเภทอาจใช้ไม่ได้ในอุปกรณ์บางเครื่อง,
Apple Watch SE ราคาย่อมเยาว์
นอกจากนี้ได้เปิดตัวรุ่นพิเศษ Apple Watch SE ซึ่งนำเอาคุณสมบัติสำคัญต่างๆ ของ Apple Watch มาไว้ในดีไซน์ทันสมัยที่ลูกค้าชื่นชอบ ในราคาที่สบายกระเป๋า
เมื่อใช้กับ watchOS 7 ผู้ใช้สามารถใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติใหม่ๆ อันทรงพลัง
ราคาและการวางจำหน่าย
- Apple Watch SE (GPS) จะวางจำหน่ายในเร็วๆ นี้ ในราคาเริ่มต้นที่ 9,400 บาท และ Apple Watch SE (GPS + Cellular) เริ่มต้นที่ 10,900 บาท
- watchOS 7 จะเปิดให้ใช้งานสำหรับ Apple Watch Series 3 และใหม่กว่าในวันที่ 17 กันยายน และต้องใช้ iPhone 6s หรือใหม่กว่าที่มี iOS 14 คุณสมบัติบางประเภทอาจใช้ไม่ได้ในอุปกรณ์บางเครื่อง
iPad Air 4 มาพร้อมกับชิป A14 Bionic
สำหรับ iPad ได้เปิดตัว iPad Air รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นรุ่นที่ 4 ทรงพลัง มากความสามารถ และสีสันจัดเต็มที่สุดให้เลือกถึง 5 สี ใช้ดีไซน์แบบหน้าจอทั้งหมด มาพร้อมจอภาพ Liquid Retina ขนาด 10.9 นิ้ว ระบบกล้องและเสียงที่อัพเกรดใหม่ เซ็นเซอร์ Touch ID ที่รวมไว้ในปุ่มด้านบน ใช้ชิป A14 Bionic ประมวลผลได้แม้กระทั่งแอปที่ใช้ทรัพยากรเครื่องอย่างหนัก ทำให้ผู้ใช้ตัดต่อวิดีโอ 4K, สร้างสรรค์งานศิลปะอันสวยงาม, เล่นเกมสุดสมจริง และอื่นๆ ได้อย่างสบายๆ ใช้พอร์ต USB-C ที่รองรับการถ่ายโอนข้อมูลสูงสุด 5Gbps ซึ่งเร็วกว่าเดิม 10 เท่า
เมื่อใช้งานบน iPadOS 14 จะผสานรวม Apple Pencil® เข้ากับประสบการณ์การใช้งาน iPad เพื่อมอบความสามารถในการจดโน้ตที่ดีขึ้นและเพิ่มวิธีใหม่ๆ ในการทำงานกับโน้ตที่เขียนด้วยลายมือ นอกจากนี้เมื่อจดโน้ตบน iPad คุณสมบัติ Smart Selection จะใช้การเรียนรู้ของระบบในตัวอุปกรณ์เพื่อแยกแยะระหว่างลายมือและรูปวาด จึงสามารถเลือก ตัด และวางข้อความที่เขียนด้วยลายมือลงในเอกสารอีกฉบับในรูปแบบของตัวพิมพ์ได้อย่างง่ายดายโดยใช้คำสั่งนิ้วที่คุ้นเคย อีกทั้งยังรู้จักรูปทรงต่างๆ ผู้ใช้จึงสามารถวาดรูปทรงเรขาคณิตได้อย่างถูกต้องแม่นยำ โดยที่รูปทรงนั้นจะยึดเข้ากับตำแหน่งที่ต้องการพอดีเมื่อผู้ใช้เพิ่มแผนภาพและภาพประกอบลงในโน้ต ตัวตรวจหาข้อมูลจะทำงานร่วมกับข้อความที่เขียนด้วยลายมือได้อย่างราบรื่น จึงรู้ว่าข้อความใดคือหมายเลขโทรศัพท์ วันที่ ที่อยู่ และลิงก์ ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย เช่น การแตะหมายเลขโทรศัพท์ที่เขียนด้วยลายมือเพื่อโทรออก
ราคาและการวางจำหน่าย
- iPad Air จะวางจำหน่ายในเร็วๆ นี้ในราคาเริ่มต้นที่ 19,900 บาท และรุ่น Wi-Fi + Cellular ในราคาเริ่มต้นที่ 24,400 บาท iPad Air ใหม่มีให้เลือกในขนาด 64GB และ 256GB พร้อมทั้งสีให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีเงิน สีเทาสเปซเกรย์ สีโรสโกลด์ สีเขียว และสีสกายบลู
- iPadOS 14 เป็นระบบปฏิบัติการอันทรงพลังซึ่งออกแบบมาสำหรับ iPad โดยเฉพาะ มีมาให้ในเครื่องพร้อมกับ iPad รุ่นที่ 8 และ iPad Air ใหม่ และจะเปิดให้อัพเดทซอฟต์แวร์ฟรีสำหรับ iPad Pro ทุกรุ่น, iPad Air 2 และใหม่กว่า, iPad รุ่นที่ 5 และใหม่กว่า และ iPad mini 4 และใหม่กว่าในวันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2020
- ส่วน Apple Pencil รุ่นที่ 2 สำหรับ iPad Air นั้นมีจำหน่ายแยกต่างหากในราคา 4,490 บาท
- Magic Keyboard สำหรับผู้ใช้ iPad Air และ Smart Keyboard Folio มีจำหน่ายแยกต่างหากในราคา 9,990 บาท และ 5,990 บาท ตามลำดับ โดยทั้งสองแบบมีรูปแบบการจัดวางปุ่มให้เลือกมากกว่า 30 ภาษา รวมถึงจีนตัวย่อ ฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น และสเปน
- Smart Folio มีจำหน่ายสำหรับ iPad Air ในราคา 2,990 บาท มีให้เลือกทั้งสีดำ สีขาว และอีกสามสีใหม่ตามฤดูกาล ได้แก่ สีกรมท่าเข้ม สีเขียวไซปรัส และสีชมพูซิตรัส
- มีราคาส่งเสริมการศึกษาสำหรับนักศึกษา นักเรียนที่ได้รับการตอบรับเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย รวมถึงผู้ปกครอง อาจารย์ เจ้าหน้าที่ และผู้สอนแบบโฮมสคูลในทุกระดับชั้น สำหรับลูกค้าด้านการศึกษา ราคา iPad Air ใหม่จะเริ่มต้นที่ 18,300 บาท Apple Pencil รุ่นที่ 2 มีจำหน่ายในราคา 4,190 บาท, Smart Keyboard Folio ในราคา 5,300 บาท และ Magic Keyboard ในราคา 9,300 บาท ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.apple.com/th-edu/shop/back-to-school
iPad รุ่น 8 ใหม่
ทางด้าน iPad รุ่นที่ 8 ที่มาพร้อมชิพ A12 Bionic อันทรงพลัง ซึ่งจะนำ Neural Engine มาผสานพลังเข้ากับ iPad รุ่นเริ่มต้นนี้เป็นครั้งแรก การอัพเกรดครั้งนี้ทำให้ iPad รุ่นยอดนิยมที่มีราคาย่อมเยาที่สุดนั้นมีความคุ้มค่ายิ่งกว่าเดิม เพราะมีทั้งจอภาพ Retina®ขนาด 10.2 นิ้ว อันงดงาม พร้อมด้วยกล้องสุดล้ำและแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ตลอดวัน โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 10,900 บาท1
เปิดบริการ Apple One
Apple One บริการแบบสมัครสมาชิกทั้งหมดของ Apple ตั้งแต่ Apple Music, Apple TV+, Apple Arcade ไปจนถึง iCloud โดยรวมทั้งหมดไว้ในแผนที่เรียบง่ายเพียงแผนเดียว เพียงแค่สมัครแตะเพียงครั้งเดียวบนอุปกรณ์ Apple ทุกเครื่องและรับบริการได้มากขึ้นในราคาที่ถูกลง
- Individual ประกอบด้วย Apple Music, Apple TV+, Apple Arcade และพื้นที่จัดเก็บข้อมูล iCloud ขนาด 50 GB ในราคา 225 บาทต่อเดือน
- Family ประกอบด้วย Apple Music, Apple TV+, Apple Arcade และพื้นที่จัดเก็บข้อมูล iCloud ขนาด 200 GB ในราคา 295 บาทต่อเดือน และสามารถแชร์ภายกับสมาชิกในครอบครัวได้สูงสุด 6 คน
ตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป แผนแบบบุคคลและแบบครอบครัวของ Apple One จะพร้อมให้บริการในกว่า 100 ประเทศและภูมิภาค
บริการใหม่ Fitness+ สำหรับผู้ชื่นชอบออกกำลังกาย
บริการ Fitness+ สำหรับการใช้งาน Apple Watch โดยเฉพาะเป็นครั้งแรกและจะเปิดให้ใช้งานปลายปีนี้อบประสบการณ์ออกกำลังกายที่เหมาะกับแต่ละบุคคลในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ทุกคนตั้งแต่มือใหม่ไปจนถึงผู้ที่ออกกำลังกายอย่างจริงจังสามารถเข้าถึงการออกกำลังกายสไตล์สตูดิโอที่จัดทำโดยเทรนเนอร์ยอดเยี่ยมระดับโลกและมาพร้อมดนตรีประกอบที่เร้าใจจากเหล่าศิลปินชื่อดัง ชวนให้ผู้ใช้รู้สึกว่าการออกกำลังกายเป็นเรื่องง่ายและคุ้มค่าคุ้มเวลายิ่งขึ้นไม่ว่าจะทำที่ไหนและเมื่อไรก็ตาม
ผสานการวัดค่าต่างๆ จาก Apple Watch เข้ามาใช้อย่างชาญฉลาดเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเห็นภาพบนหน้าจอของ iPhone, iPad หรือ Apple TV
ราคาและความพร้อมใช้งาน
- เมื่อเปิดตัว Apple Fitness+ จะมีให้บริการในออสเตรเลีย แคนาดา ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา
- ลูกค้า Apple Watch สามารถใช้งาน Fitness+ ได้ในรูปแบบบริการสมัครสมาชิกภายในสิ้นปี 2020 ในราคา $9.99 ต่อเดือนหรือ $79.99 ต่อปี ทุกคนสามารถลองใช้งาน Fitness+ ได้ฟรีเป็นเวลาหนึ่งเดือน1
- ลูกค้าสามารถแชร์การสมัครสมาชิก Fitness+ กับคนอื่น ๆ ในครอบครัวได้สูงสุด 5 คนผ่านการแชร์แบบครอบครัว (ต้องใช้ Apple Watch Series 3 หรือใหม่กว่า)
- Fitness+ ใช้ได้บน Apple Watch Series 3 หรือรุ่นที่ใหม่กว่า ซึ่งต้องจับคู่กับ iPhone 6s หรือรุ่นที่ใหม่กว่า หรือ iPhone SE
- สำหรับ iPad บริการ Fitness+ ใช้ได้บน iPad Pro, iPad (รุ่นที่ 5 หรือใหม่กว่า), iPad mini 4 หรือรุ่นที่ใหม่กว่า, iPad Air 2 หรือ iPad Air (รุ่นที่ 3) Fitness+ สามารถใช้งานได้ใน Apple TV 4K และ Apple TV HD
- ไม่จำเป็นต้องสมัครสมาชิก Apple Music
- หากมีซอฟต์แวร์ที่จำเป็นต้องใช้สำหรับ Apple Watch, iPhone, iPad และ Apple TV เราจะแจ้งข้อมูลให้ทราบก่อนเปิดให้บริการ และซอฟต์แวร์นั้นจะสามารถใช้งานได้กับอุปกรณ์ที่ระบุข้างต้น