5 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า

ในขณะที่ประชาชนคนทั่วไปกำลังจะเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 จากโรงพยาบาลและศูนย์ฉีดวัคซีนต่าง ๆ ทั่วประเทศ แอสตร้าเซนเนก้าจึงขอนำเสนอ 5 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้แก่ประชาชนก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีน

1.วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า ได้รับการอนุมัติใช้งานแล้วกว่า 168 ประเทศทั่วโลก

2.วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า สามารถฉีดให้แก่ผู้มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

3.การเตรียมตัวก่อนฉีดวัคซีนจะต้องมีการตรวจสอบและคัดกรองเบื้องต้น ประกอบไปด้วย

  • เป็นผู้ที่ไม่มีอาการไข้ขึ้นสูงเกิน 37.5 องศา ในวันที่เข้ารับการฉีดวัคซีนฯ
  • ไม่มีโรคประจำตัวขั้นรุนแรงที่ไม่สามารถควบคุมโรคได้ ได้แก่ โรคความดัน โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคทางเดินหายใจเรื้องรัง กลุ่มโรคระบบประสาท กลุ่มโรคเบาหวานและโรคอ้วน
  • ไม่มีประวัติแพ้ยาหรือสารประกอบในกลุ่มที่ระบุ
  • ผู้มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ความผิดปกติในการแข็งตัวของเกล็ดเลือด หรือผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านการแข็งตัวของเลือด สามารถฉีดวัคซีนได้ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์ฯ

4.สำหรับประโยชน์ของวัคซีนป้องกันโควิด-19 มีดังต่อไปนี้

ช่วยให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity)

  • เมื่อมีการฉีดวัคซีนมากกว่า 70% ของจำนวนประชากร

ป้องกันอาการป่วยจากโควิด-19

  • ป้องกันการติดเชื้อรุนแรงที่ต้องเข้านอนรับการรักษาในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ป้องกันได้ 100% หลังฉีดเข็มแรก 22 วันไปแล้ว
  • และจากการศึกษาการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในคนไทย พบว่าหลังฉีดเข็มแรก 30 วัน ผู้ใช้วัคซีนมีภูมิคุ้มกันถึง 96.7%
  • ลดอัตราการแพร่เชื้อไวรัสโคโรนา-สูงถึง 63.0% หลังฉีดเข็มแรก 3 สัปดาห์

5.ทางด้านผลข้างเคียงหลังการฉีดวัคซีนป้องกัน-19 จะประกอบไปด้วย

อาการข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป

60% มีอาการเจ็บบริเวณที่ฉีด
50% มีอาการปวดศรีษะ และ อ่อนเพลีย
40% มีอาการปวดกล้ามเนื้อ ครั่นเนื้อครั่นตัว
30% มีอาการไข้ หนาวสั่น
20% มีอาการปวดข้อ และ คลื่นไส้

อาการข้างเคียงที่พบได้ยาก

< 1% มีอาการต่อมน้ำเหลืองโต เบื่ออาหาร มึนหรือเวียนศรีษะ ปวดท้อง เหงื่อออกมากผิดปกติ มีผื่นคัน
จากข้อมูลการใช้วัคซีนในสหราชอาณาจักพบภาวะลิ่มเลือก 0.000013% ใน 1,000,000 คน และจากข้อมูลการใช้วัคซีนในประเทศอินเดียพบภาวะลิ่มเลือด 0.61 ใน 1,000,000 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 27 พฤษภาคม 2564)