“ไทยคม” โชว์ไตรมาส 3 กำไร 925 ล้านบาท

  • กำไรจากการแข็งค่าของเงินดอลล่าร์สหรัฐ
  • สัญญาสัมปทานสิ้นสุดลงแล้วเมื่อ 10 ก.ย.64
  • ส่งมอบทรัพย์สินให้ดีอีเอสทั้งหมดแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) (“THCOM” หรือ “บริษัท”) ผู้ให้บริการดาวเทียมไทย รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 3/2564 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 โดยบริษัทรายงานรายได้จากการขายและการให้บริการสำหรับไตรมาส 3/2564 รวมทั้งสิ้น 925 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2563 ที่ 918 ล้านบาท สาเหตุหลักจากการแข็งค่าของเงินดอลล่าร์สหรัฐเมื่อเทียบกับเงินบาท ส่งผลให้เกิดการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากเงินตราต่างประเทศ โดยเมื่อเปรียบเทียบไตรมาส 2/2564 รายได้จากการขายและการให้บริการเพิ่มขึ้น 16.3% จาก 796 ล้านบาท จากการเพิ่มขึ้นของรายได้การขายโครงการของธุรกิจดาวเทียมแบบทั่วไป และการให้บริการเสริมของธุรกิจบรอดแบนด์

บริษัทมีผลกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 3/2564 เป็นจำนวน 146 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากผลกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2563 จำนวน 77 ล้านบาท และผลขาดทุนสุทธิ จำนวน 41 ล้านบาท ไตรมาสที่ 2/2564 จากการลดลงของต้นทุนค่าเสื่อมราคาของดาวเทียมและต้นทุนผลประโยชน์ตอบแทนหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของรายได้ รวมถึงกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น

ณ สิ้นไตรมาส 3/2564 อัตราการใช้บริการของลูกค้าเมื่อเทียบกับความสามารถในการให้บริการของดาวเทียมแบบทั่วไป ซึ่งประกอบด้วยดาวเทียมไทยคม 7 และไทยคม 8 อยู่ที่ระดับ 59.3%

ทั้งนี้บริษัทได้ทำสัญญากับกระทรวงคมนาคมเพื่อดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารเป็นเวลา 30 ปี โดยบริษัทมีสิทธิในการบริหารกิจการและการให้บริการวงจรดาวเทียมเพื่อการสื่อสารทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ และมีสิทธิเก็บค่าใช้วงจรดาวเทียมจากผู้ใช้วงจรดาวเทียมภายในระยะเวลา 30 ปี ต่อมาสัญญาดังกล่าวได้อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ซึ่งปัจจุบันสัญญาดังกล่าวได้สิ้นสุดแล้ว และบริษัทได้ส่งมอบการครอบครองดาวเทียมและทรัพย์สินตามสัญญาดังกล่าวคืนให้แก่ ดีอีเอส  ครบถ้วนแล้วเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2564

ในส่วนของกลุ่มบริษัทในเครือ บริษัท ลาว เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (แอลทีซี) ในประเทศลาว มีจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในระบบรวมทั้งสิ้น 1.86 ล้านราย โดยมีระดับจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2563 จำนวน 1.59 ล้านราย