ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานฑูตจีนออกแถลงการณ์โต้บทความวิจัยการพัฒนาและใช้ประโยชน์ทรัพยากรน้ำที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯของ Eyes on Earth ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาทางด้านทรัพยากรน้ำที่ชี้ว่า เขื่อนในประเทศจีนมีปริมาณน้ำมากกว่าปริมาณเฉลี่ยปกติในปีที่ผ่านมา โดยใช้ข้อมูลจากดาวเทียม โดยในเฟสบุ๊กของ Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้ทำการรวบรวมความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญและยินดีแลกเปลี่ยนความเห็นในเรื่องนี้
โดยระบุว่า “การสร้างเขื่อนจะทำให้น้ำเยอะขึ้นในหน้าฝนและน้อยลงในหน้าแล้ง เป็นต้นเหตุที่แม่น้ำโขงตอนล่างเกิดน้ำท่วมและภัยแล้งบ่อยครั้ง”
ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า: คนสมัยใหม่มักจะไปออมทรัพย์ที่ธนาคารเมื่อมีเงินเหลือ เผื่อเกิดกรณีฉุกเฉินในวันข้างหน้า โครงการชลประทานก็เป็นธนาคารของแม่น้ำ หน้าฝนเก็บน้ำ หน้าแล้งปล่อยน้ำ เป็นหลักประกันที่ขาดมิได้ในการรับมือกับน้ำท่วมหรือภัยแล้ง ประเทศยุโรป เช่นสวีเดน นอร์เวย์ สวิตเซอร์แลนด์ มีโครงการชลประทานในแม่น้ำมากกว่า 90% สหรัฐฯ มีอ่างเก็บน้ำ 84,000 แห่ง แม่น้ำ 96% ได้สร้างเขื่อน โดยแม่น้ำมิสซิสซิปปีโดดเด่นที่สุด หนังสือ “ฟ้าลิขิต” ซึ่งพิมพ์โดยสำนักงานแม่น้ำมิสซิสซิปปีระบุว่า
“หากแม่น้ำมิสซิสซิปปีไม่มีโครงการชลประทานที่รัฐบาลสหรัฐฯ ลงทุน 14,000 ล้านเหรียญสร้าง นึกภาพไม่ออกว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเกิดภัยพิบัติ จะกลายเป็นประเทศโลกที่สาม ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา ไม่มีระบบบำบัดน้ำเสีย ไม่มีการขนส่งและไม่มีฟาร์ม ชายฝั่งจะถูกน้ำท่วมและกัดเซาะ เป็นภาพที่พังพินาศอย่างยับเยิน”
สหรัฐฯได้ลงทุนสร้างเขื่อนในต้นน้ำที่แคนาดา เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมในแม่น้ำโคลัมเบียตอนล่าง
สำหรับแม่น้ำโขง 80 % ของน้ำฝนตกลงมาในหน้าฝน แต่การพัฒนาโครงการชลประทานยังน้อยกว่าสหรัฐฯและยุโรปมาก ซึ่งเป็นปัจจัยขัดขวางการพัฒนาเศรษฐกิจสังคม ประเทศในภูมิภาคได้สร้างโครงการชลประทานหลายแห่งในแม่น้ำสายหลักและสายย่อยของแม่น้ำโขง ซึ่งรวมเขื่อน 2 แห่งในสายหลักและเขื่อน40 กว่าแห่งในสายย่อย เพื่อปรับระดับน้ำตามฤดู
หลังจากเกิดภัยแล้งปีนี้ รัฐบาลไทยได้อนุมัติงบประมาณพิเศษในการสร้างโครงการชลประทาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง โครงการชลประทานจะทำให้น้ำในแม่น้ำตอนล่างเยอะขึ้นในหน้าแล้งและน้อยลงในหน้าฝน โดยผ่านการปรับระดับน้ำตามหลักวิทยาศาสตร์
“เขื่อนในแม่น้ำล้านช้าง(แม่น้ำโขง) ทำให้ตอนล่างยิ่งแล้งขึ้น ควรรื้อถอนออกไป
ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า: ตามสถิติการสังเกตการณ์ ในสภาพธรรมชาติก่อนสร้างเขื่อน ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน ปริมาณน้ำที่ไหลลงจากแม่น้ำล้านช้างอยู่ที่ประมาณ 600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เดือนมกราคมถึงเดือนเมษายนของปีนี้ เมื่อคำนึงถึงได้เกิดสถานการณ์ภัยแล้งรุนแรงในตอนล่าง จีนได้บริหารจักการพิเศษ ให้ปริมาณน้ำที่ไหลลงจากแม่น้ำล้านช้างมากกว่า 2 เท่าตัวของน้ำไหลเข้า อยู่ในระดับที่มากกว่า 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
ข้อมูลจากคณะกรรมการแม่น้ำโขงระบุว่า ที่สถานีอุทกวิทยาเชียงแสน ซึ่งเป็นสถานีอยู่ใกล้สุดกับจีน ระดับน้ำในเดือนมกราคมถึงเมษายนปีนี้ โดยเฉลี่ยแล้วสูงกว่า 0.2 เมตรเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในประวัติศาสตร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโครงการชลประทานในแม่น้ำล้านช้างมีบทบาทในการเพิ่มปริมาณน้ำในหน้าแล้ง ปริมาณน้ำที่ไหลลงมาไม่ได้ลดลงแต่เพิ่มขึ้น รายงานล่าสุดจากคณะกรรมการแม่น้ำโขงระบุว่า หน้าแล้งปี 2019 และ ปี 2020 ปริมาณน้ำมาจากแม่น้ำล้านช้างมากกว่าช่วงหน้าแล้งปีก่อน ๆ
เมื่อเศรษฐกิจโลกมีความผันผวน ประเทศต่างๆ ก็จะหารือกันอย่างกระตือรือร้นในการตั้งธนาคารใหม่หรือประสานการทำงานระหว่างธนาคาร น้อยคนคิดว่าควรแก้ปัญหาโดยรื้อถอนธนาคาร เมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงมากขึ้นในลุ่มแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ภัยแล้งและน้ำท่วมเกิดยิ่งบ่อยขึ้น ทำไมจะไปเชื่อคำยั่วยุของคนที่มีเจตนาซ่อนเร้น มองข้ามประโยชน์เชิงบวกของโครงการชลประทาน และไปตั้งคำถามว่าทำไมต้องมีโครงการชลประทาน
หมายเหตุได้แบ่งวรรคตอนใหม่เพื่อความสะดวกในการอ่านโดยไม่ได้ทำการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงข้อความใด เพียงแค่อธิบายเพิ่มเติมว่าแม่น้ำล้านช้างของจีนคือแม่น้ำโขง
#LancangMekong