พาณิชย์ปรับลดเป้าเงินเฟ้อเหลือโต1%

  • ราคาน้ำมันลงแรงฉุดเงินเฟ้อพ.ค.ชะลอตัว
  • แม้สินค้าส่วนใหญ่ราคาขึ้นแทบไม่ช่วยดัน
  • ลดเป้าทั้งปีตามแนวโน้มศก.โลก-น้ำมัน

พาณิชย์” เงินเฟ้อเดือนมิ.ย.62เทียบมิ.ย.61 เพิ่ม 0.87% เหตุผัก ผลไม้ ข้าว เนื้อสัตว์ราคาเพิ่มช่วยดัน แต่โตในอัตราที่ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 หลังราคาน้ำมันลดแรง แต่เจอน้ำมันลดราคาแรง พร้อมปรับคาดการณ์ใหม่เหลือโต 1% หลังเศรษฐกิจ-ราคาน้ำมันมีแนวโน้มลด

น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยถึงดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศ (เงินเฟ้อ) เดือนมิ.ย.62 ว่า เท่ากับ 102.94 ลดลง 0.36% เมื่อเทียบกับเดือนพ.ค.62 และเพิ่มขึ้น 0.87% เมื่อเทียบกับเดือนมิ.ย.61 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 หลังจากที่ 3 เดือนก่อนหน้านี้ อัตราสูงขึ้นเกิน 1% ทุกเดือน โดยเดือนมี.ค.เพิ่ม 1.24% , เดือนเม.ย. เพิ่ม 1.23% และเดือนพ.ค. เพิ่ม 1.15% ขณะที่เงินเฟ้อเฉลี่ย 6 เดือน (ม.ค.-มิ.ย.) ปี 62 เพิ่มขึ้น 0.92%

“สาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นในอัตราที่ชะลอลง มาจากสินค้ากลุ่มพลังงานที่หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ในปีนี้ ลดลง 3.86% โดยราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงถึง 6.26% ถือเป็นปัจจัยหลักเลยก็ว่าได้ แม้สินค้าส่วนใหญ่จะเพิ่มขึ้น”

สำหรับเงินเฟ้อเดือนมิ.ย.62 ที่เพิ่มขึ้น 0.87% เทียบกับเดือนมิ.ย.61 มาจากสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เพิ่ม 3.12% สินค้าสำคัญที่เพิ่มขึ้น เช่น ผักสด, ผลไม้สด, ข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์, เนื้อสัตว์ เป็ดไก่และสัตว์น้ำ, ไข่และผลิตภัณฑ์นม, เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์, อาหารบริโภคในและนอกบ้าน ขณะที่หมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลง 0.40% จากการลดลงของ น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นสำคัญ

อย่างไรก็ตาม สนค. ได้ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อปี 62 ใหม่ เหลือขยายตัว 0.7-1.3% โดยมีค่ากลาง 1.0% จากที่ประเมินไว้ต้นปีขยายตัว 0.7-1.7% มีค่ากลางที่ 1.2% ตามทิศทางของภาวะเศรษฐกิจและราคาน้ำมัน ที่มีแนวโน้มหดตัว “เงินเฟ้อในช่วง 6 เดือนที่เหลือของปีนี้ ถ้าจะขยายตัว 1.0% จะต้องเพิ่มขึ้นแตะ 1% ทุกเดือน ถ้าไม่ถึง จะใกล้เคียงระดับ 1% หากทุกเดือนโตตามที่คาดไว้ 1% ทั้งปีจะเกิน 1% เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากปี 61 เพิ่มขึ้น 1.07% แต่ 3 ปีก่อนหน้านี้ ขยายตัวไม่ถึง 1% และมีบางปีติดลบ โดยปี 60 เพิ่ม 0.66% ปี 59 เพิ่ม 0.19% และปี 58 ติดลบ 0.90%”