นายกฯ ยัน ตัวเลขนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์ตรงกับสถานทูตสหรัฐฯ ลั่น! ถ้าหายไม่เอาไว้แน่

  • “เลขาฯสมช.”เล็งเพิ่มจุดรับอาหารในห้าง
  • เร่งกระจายวัคซีนให้ 25 จุดฉีดวัคซีนในกทม.

วันที่ 3 สิงหาคม 2564 รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่างถึงปัญหามาตรการการผ่อนปรนให้ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าขายอาหารแบบเดลิเวอรี่ได้ แต่ห้ามจำหน่ายหน้าร้าน ทั้งที่ประชาชนบางส่วนสามารถเดินทางไปจับจ่ายสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้าได้ โดย พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผอ.ศปก.ศบค. ชี้แจงว่า การจำหน่ายอาหารเดลิเวอรี่นั้น แม้จะเป็นพนักงานส่งอาหาร ก็ไม่สามารถเดินไปรับอาหารหน้าร้านค้าได้ ต้องไปรับอาหารจุดอื่น จึงจะพิจารณาให้มีการเพิ่มจุดรอรับอาหารสำหรับคนที่จะมาซื้ออาหารให้เป็นกิจจะลักษณะที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ตรงนี้ยังเป็นเพียงข้อเสนอ โดย ศปก.ศบค.จะไปพิจารณารายละเอียดเรื่องแนวทางดังกล่าวอีกครั้ง

ทั้งนี้ในที่ประชุม ครม. พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงเรื่องการกระจายวัคซีน โดยขอให้มีการกระจายวัคซีนไปให้ 25 จุดฉีดวัคซีน ในกทม. ประมาณจุดละ 1,000 โดสต่อวัน เพื่อให้มีความเหมาะสมและครอบคลุม ขณะเดียวกัน ยังพูดถึงเรื่องปริมาณวัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับมอบจากสหรัฐอเมริกา ที่โซเชียลมีเดียตั้งข้อสังเกตว่ายอดน้อยกว่าข้อมูลที่มีการเผยแพร่ก่อนหน้านี้ โดย พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่า ตัวเลขที่มีการเผยแพร่ไปก่อนหน้านี้คือ ตัวเลขกลมๆ แต่เมื่อได้รับมาก็เป็นตัวเลขที่ตรงกับที่สถานทูตสหรัฐฯยืนยัน

“ผมก็ตรวจสอบกับสถานทูตสหรัฐฯมาแล้ว ตัวเลขก็ตรงกัน ถ้ามันหาย ผมไม่เอาไว้แน่”

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์สั่งการให้สำรวจว่าบุคลากรด่านหน้ามีใครบ้าง ให้แยกออกมา เพื่อจะได้พิจารณาค่าตอบแทนให้เป็นพิเศษ เพราะต้องดูแลเยียวยาคนกลุ่มนี้ด้วย

ทั้งนี้ ก่อนปิดประชุม พล.อ.ประยุทธ์ได้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ช่วยกันแก้ปัญหาโควิด-19 ว่า “ขอบคุณทุกคนที่ทำงานด้วยความเสียสละและอดทน ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลเขา สนับสนุน ทั้งเครื่องมือ เพื่อให้มีความพร้อม” รวมถึงกล่าวกับ ครม. ว่า “เราต้องมีความรักสามัคคีกัน เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ”

สำหรับการให้ความช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบนั้น นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานด้านความมั่นคงไปติดตามการปฏิบัติตามมาตรการที่ ศบค.ได้ประกาศข้อกำหนดออกไป หากมีการฝ่าฝืนกระทำผิดก็ให้ลงโทษ เช่น เรื่องฝ่าฝืนเคอร์ฟิว ขณะเดียวกัน ให้ไปดูกรณีบุคคลที่มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดหนึ่ง แต่เข้ามาทำงานอีกจังหวัดหนึ่งซึ่งขณะนี้ถูกประกาศเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) แล้วว่าจะช่วยเหลือเยียวยาเขาอย่างไร