นายกสมาคมศัลยกรรมฯ ชี้ศัลยกรรมความงามไทยดีที่สุดในโลก หวังปั้นเป็นธุรกิจแม่เหล็ก ตั้งเป้าช่วยชาติหลังเผชิญพิษโควิด-19

  • ลั่นแพทย์ไทยไม่แพ้ชาติใด แต่สู้ไม่ได้เพราะประชาสัมพันธ์ไม่ดี
  • วอนรัฐช่วยหนุนจริงจัง ไปไกลแน่นอน
  • พร้อมเสนอมาตรการกักตัวแบบ 7+7 แทนแบบ 14 วัน
  • หวังดึงต่างชาติเป๋าหนักเข้ามาใช้บริการ

นายแพทย์ชลธิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งอาเซียน และอดีตนายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันสาธารณสุขของประเทศไทยได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่า สามารถรับมือและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก จนคาดการณ์กันว่าหลังจบโควิด-19 ไทยจะกลายเป็นประเทศเป้าหมายของบรรดานักธุรกิจและมหาเศรษฐีจากทั่วโลก ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการสาธารณสุขทั้งการรักษาโรค สุขภาพและศัลยกรรมความงาม ได้รับการยกระดับเป็นกลุ่มธุรกิจ “แม่เหล็ก” เพื่อช่วยฟื้นเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาโดยเร็วที่สุด  

ทั้งนี้มาตรการคลายล็อคระยะที่ 6 ซึ่งเริ่มผ่อนปรนให้กลุ่มชาวต่างชาติสามารถเดินทางเข้ามารับการรักษาโรค (Medical Wellness) การดูแลสุขภาพและศัลยกรรมเพื่อความสวยงามได้ ตามมาตรการกักตัว (Quarantine) 14 วันเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นายแพทย์ชลธิศ ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า

“ดีใจมากที่รัฐบาลหันมาให้ความสำคัญกับธุรกิจศัลยกรรมความงาม ยกระดับให้เป็นธุรกิจแม่เหล็กของประเทศ เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี ที่ตนอยู่ในวงการนี้มา ในฐานะนายกสมาคมฯ ขอการันตีว่า ศัลยกรรมความงามของไทยดีที่สุดในโลก ประเทศเราสามารถทำศัลยกรรมให้กับสาวประเภทสอง จนประกวดได้ตำแหน่งสาวประเภทสองที่สวยที่สุดในโลก มีศัลยแพทย์ฝีมือดีที่สุดในการทำศัลยกรรมความงามให้กับกลุ่มคนผิวเหลือง ไม่รวมกลุ่มคนตะวันตก เพราะโครงหน้าและลักษณะของอวัยวะส่วนต่างๆ แตกต่างกัน” นายแพทย์ชลธิศ กล่าว

นายแพทย์ชลธิศ กล่าวว่า สำหรับเกาหลีเคยพูดมาหลายปีแล้วว่า แพทย์ไทยพัฒนาฝีมือไปไกลกว่าเกาหลีมาก แต่ที่สู้ไม่ได้คือการประชาสัมพันธ์ และการสนับสนุนจากภาคส่วนต่างๆ ที่ต้องร่วมมือกันสร้างกระแสความนิยม ความเป็นไทยให้เป็นที่ยอมรับกับทั่วโลก นำเสนอความสวย ความหล่อ แบบไทยๆ ดาราไทยให้เป็นเอกลักษณ์จนใครๆ ก็อยากมาประเทศไทย อยากสวย-หล่อเหมือนกับคนไทย โดยเฉพาะความสวยของผู้หญิงไทย ได้รับจัดอันดับให้เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก รับตำแหน่งนางงามจักรวาลมาแล้วถึง 2 คน 

นพ.ชลธิศ สินรัชตานันท์

สำหรับการคลายล็อคดังกล่าว เห็นด้วยอย่างมาก เพราะศัลยกรรมความงามเป็นธุรกิจที่สร้างมูลค่าการตลาดให้กับอุตสาหกรรมการแพทย์สูงมาก เนื่องจากการทำหัตถการต้องอาศัยทั้งประสบการณ์ และความชำนาญเฉพาะทางของแพทย์ ขณะเดียวกันผู้รับบริการส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการจับจ่ายสูง โดยที่ผ่านมาจะเข้าพักในโรงแรมหรู รับประทานอาหารแพงๆ ช้อปปิ้งในห้างดัง ทำให้เกิดการกระจายรายได้ไปสู่กลุ่มธุรกิจต่างๆ อีกด้วย 

นายแพทย์ชลธิศ กล่าวต่อว่า การคลายล็อคธุรกิจนี้จึงเป็นการเริ่มต้นกระตุ้นเศรษฐกิจที่ถูกต้อง ถูกจุด และเหมาะสมกับเวลามากที่สุด พร้อมกันนี้ได้เสนอมาตรการกักตัว (Quarantine) จาก 14 วัน เป็น 7+7 โดยกักตัวจากประเทศต้นทาง 7 วัน (ที่เชื่อถือได้) และในประเทศไทย 7 วัน รวมเป็น 14 วัน พร้อมแนะหาวิธีลดขั้นตอนการทำเอกสาร เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้เข้ามารับบริการ รวมทั้งหลีกเลี่ยงการติดต่อให้น้อยที่สุด ลดการแพร่ระบาด และยังสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้เข้ามาติดต่อได้อีกด้วย  

“ขอเน้นย้ำว่า เรื่องความปลอดภัยต้องมีเป็นอันดับแรก สำหรับแพทย์ โรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลผู้ให้บริการ มีขั้นตอนการตรวจรับที่เข้มข้นอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นบุคลากรที่อยู่กลุ่มสาธารณสุข และต้องมีความมั่นใจในความปลอดภัยทั้งจากผู้เข้ามารับบริการ และการบริหารจัดการของประเทศต้นทางเท่านั้น จึงกล้าที่จะเปิดรับ” นายแพทย์ชลธิศ กล่าว

ในส่วนการปรับตัวของสถานพยาบาล หรือคลินิกต่างๆ  ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 นี้ นอกจากการเพิ่มมาตรการคัดกรองผู้เข้าใช้บริการ ตามแนวทางของ ศบค.แล้ว การรักษาความสะอาดพื้นที่ทุกตารางนิ้ว รวมถึงในอากาศให้ปราศจากเชื้อโรค เป็นข้อตระหนักสำคัญที่ทุกสถานพยาบาล และคลินิกต่างๆ ดำเนินการอย่างเคร่งครัดอยู่แล้ว นอกจากนี้ผู้เข้าบริการส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ก็คุ้นชินกับการใช้ชีวิตแบบวิถีใหม่ (New Normal) ทั้งสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ และเว้นระยะห่างทางสังคม

“ตั้งแต่เปิดให้บริการหลังมาตรการคลายล็อค ลูกค้าส่วนใหญ่ยังเป็นคนไทยในประเทศ และคนไทยที่มาจากต่างประเทศ เพราะลูกค้าต่างชาติจริงๆ การเดินทางเข้ามาใช้บริการปัจจุบันต้องดำเนินการทำเอกสารหลายขั้นหลายตอน ทำให้เกิดความไม่สะดวก ซึ่งหากรัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ควรเร่งดำเนินการปรับลดขั้นตอนดังกล่าว เช่น การใช้วิธี Fast Tract เป็นต้น ปัจจุบันการแพทย์ไทยมีศักยภาพเป็นที่ยอมรับอยู่แล้ว แต่ยังขาดการส่งเสริมสนับสนุนให้เติบโต และสร้างรายได้เข้าประเทศอย่างจริงจัง” นายแพทย์ชลธิศ กล่าว

ทั้งนี้ที่ผ่านมาลูกค้าชาวต่างชาติที่เข้ามารับบริการทำศัลยกรรมความงามในประเทศไทย กลุ่มใหญ่ คือ กัมพูชา ตามด้วย ออสเตรเลีย ลาว และเมียนมาร์

อย่างไรก็ตาม มูลค่าตลาดธุรกิจศัลยกรรมไทย เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2560 มีมูลค่าราว 30,000 ล้านบาท ปี 2561 เพิ่มขึ้นเป็น 36,000 ล้านบาท และปี 2562 เพิ่มขึ้นอีก 39,600-43,000 ล้านบาท ส่วนในปี 2563 ก่อนมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 45,000 ล้านบาท โดยหากมีการส่งเสริมสนับสนุนให้ไทยเป็น Medical Hub ในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงธุรกิจด้านสุขภาพและศัลยกรรมความงามอย่างเป็นรูปธรรม ควบคู่ไปกับการท่องเที่ยว และการผลิตสินค้าไทยที่มีศักยภาพสูง จำหน่ายให้กับชาวต่างชาติกลุ่มนี้ จะเป็นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยให้เติบโตอย่างมหาศาลแน่นอน