นักวิจัยสหรัฐ เผย การใส่หน้ากากอนามัยลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในสหรัฐฯ ได้นับแสนคน

  • ยอดตายจากโควิดในสหรัฐอาจทะลุ 5 แสนคนภายใน 4 เดือน
  • ตรงข้ามกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ระบุ “โควิดกำลังจะหายไป”

คณะนักวิจัยของสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ตัวเลขคาดการณ์จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ในสหรัฐ อาจพุ่งเกิน 500,000 ราย ภายในสิ้นเดือนก.พ. 2564 แต่ตัวเลขดังกล่าวสามารถลดลงได้หากประชาชนใส่ หน้ากากอนามัย

ทั้งนี้ผลการศึกษาที่เผยแพร่ในวารสารเนเจอร์ เมดิซีน (Nature Medicine) ระบุว่า คณะนักวิจัยของสถาบันชี้วัดและประเมินผลทางสุขภาพ (IHME) มหาวิทยาลัยวอชิงตัน พบการใช้หน้ากากอาจช่วยรักษาชีวิตผู้คนในประเทศราว 130,000 คนเป็นอย่างน้อย

“เรากำลังจะพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาว ดังนั้น เราไม่เชื่อความคิดที่ว่าโรคระบาดใหญ่กำลังจะหายไปนั้นเป็นความจริง” คริสโตเฟอร์ เมอร์เรย์ ผู้อำนวยการสถาบัน และผู้เขียนผลการศึกษาข้างต้นกล่าวกับนักข่าว

นอกจากนี้ยังคาดว่าจำนวนผู้ป่วยทั้งในระดับรัฐและระดับประเทศจะเพิ่มขึ้นอย่างคงที่ ขณะจำนวนผู้ป่วยเสียชีวิตใหม่รายวันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายเดือนธันวาคมและเดือนมกราคม

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า การคาดการณ์ทั้งหมดมีขึ้นหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เผยว่าไวรัสโคโรนา “กำลังจะหายไป” ระหว่างการดีเบตรอบสุดท้าย หรือการโต้อภิปรายแสดงวิสัยทัศน์เพื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อวันที่ 22 ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งในการดีเบตดังกล่าว นายโจ ไบเดน ผู้แทนพรรคเดโมแครต เป็นฝ่ายที่ออกมาเตือนว่าสหรัฐ จะเจอกับ “ฤดูหนาวอันมืดมน” (อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19) และกระตุ้นให้ประชาชนสวมหน้ากาก

ขณะที่ปธน.ทรัมป์กล่าวอ้างว่า “เรากำลังเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่กับไวรัสโคโรนา” แต่ไบเดนโต้แย้งว่า “เรากำลังเรียนรู้ที่จะตายไปกับไวรัสโคโรนา” มากกว่า