ต่างชาติมองไทยเป็นหลุมหลบภัย เชื่อมั่นมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง

  • LGT บริษัทบริหารทรัพย์สินข้ามชาติ ที่ดูแลมหาเศรษฐีไทย
  • ชี้นักลงทุนต่างชาติมองไทยน่าลงทุนและพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
  • มองตลาดหุ้นทั่วโลกยังเป็นขาขึ้น แนะลงทุนหุ้นกลุ่มสินค้าบริโภค, แพทย์, โทรคมนาคม

นายสเตฟาน โฮเฟอร์ กรรมการผู้จัดการและหัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุน กลุ่มธุรกิจบริการด้านไพรเวทแบงก์และการลงทุนทรัพย์สินของราชวงศ์แห่งลิกเตนสไตน์-Princely House of Liechtenstein (LGT) ที่ราชวงศ์แห่งลิกเตนสไตน์ เป็นเจ้าของมากกว่า 80 ปี โดย LGT ได้เข้ามาตั้งสำนักงานสาขาในประเทศไทยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เพื่อรับบริหารทรัพย์สินหรือความมั่งคั่งของนักลงทุน โดยจับกลุ่มลูกค้ามหาเศรษฐี (ULTRA WEALTH) คนไทย

โดยนายสเตฟานได้เปิดเผยมุมมองการลงทุนว่า ขณะนี้ประเทศไทย ถือเป็นประเทศที่น่าลงทุนในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ โดยเปรียบประเทศไทยเสมือนเป็นหลุมหลบภัยชั่วคราวเพื่อป้องกันความเสี่ยงหรือความผันผวนของตลาดการลงทุนทั่วโลก สะท้อนจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างรวดเร็ว จากกระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาต่อเนื่อง ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้

“สาเหตุที่นักลงทุนต่างชาติมองไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนหรือมีความมั่นใจต่อประเทศไทย เนื่องจากมองว่าเป็นประเทศที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง แม้จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ หรือการเมืองก็สามารถปรับตัวและขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เกิดความต่อเนื่องได้ ส่วนการตั้งรัฐบาลใหม่ที่ยังล่าช้าและอยู่ระหว่างการจัดตั้ง มองว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการลงทุน เพราะนักลงทุนต่างชาติสนใจการเติบโตของอุตสาหกรรมและธุรกิจมากกว่าปัญหาการเมืองภายในประเทศ”

นายสเตฟาน โฮเฟอร์ ยังกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า การรับมือกับกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าและออกของนักลงทุนต่างชาติถือเป็นเรื่องที่ท้าทายของเศรษฐกิจไทย  โดยกระแสเงินทุนไหลที่เข้าออกจะอิงกับนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่มีแนวโน้มการลดดอกเบี้ยนโยบายมากขึ้นหลังจากนี้  ทั้งนี้ ต้องติดตามการประกาศเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ช่วงเดือน ก.ค.นี้ เพราะมีผลต่อการตัดสินใจของเฟด เบื้องต้นตลาดคาดการณ์ว่าครึ่งปีหลังเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยถึง 2 ครั้ง

นายสเตฟาน โฮเฟอร์ยังกล่าวว่า ที่มีการประเมินว่าเศรษฐกิจโลกจะสู่ภาวะถดถอยในปี 64 นั้นถือเป็นไปตามวัฏจักรของเศรษฐกิจ ทั้งนี้มองว่าตลาดหุ้นทั่วโลกยังเป็นตลาดที่น่าลงทุน แนะให้จัดสรรพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น ลงทุนในตลาดหุ้น 48% เช่น กลุ่มหุ้นสินค้าบริโภค, การแพทย์, โทรคมนาคม ลงทุนตราสารหนี้ 40% และอื่น ๆ 12% เช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์, ทองคำ เป็นต้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า LGT กลุ่มธุรกิจบริการด้านไพรเวทแบงก์และการลงทุนทรัพย์สินของราชวงศ์แห่งลิกเตนสไตน์ โดย LGT เป็นบริษัทชั้นนำที่ให้บริการด้านการเงินระดับนานาชาติ โดยมุ่งเน้นการบริการไพรเวทแบงก์และการบริหารทรัพย์สิน มีสำนักงานมากกว่า 20 แห่งทั่วทวีปยุโป เอเชีย อเมริกา ออสเตรเลีย และเอเชียตะวันออกกลาง  โดยเข้ามารุกตลาดเอเชีย 30 กว่าปีที่แล้ว มีสำนักงาน ตั้งอยู่ในฮ่องกงและสิงคโปร์ โดยมองว่าทวีปเอเชีย เป็นตลาดที่เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยทรัพย์สินที่บริษัทบริหารจัดการ 1 ใน 4 ของลูกค้าทั้งหมดมาจากทวีปเอเชีย