ดาวโจนส์เปิดตลาดแกว่งตัวก่อนยืนได้ในแดนบวกนักลงทุนติดตามสถานการณ์ไวรัสโคโรนา

  • นักลงทุนกัววลไวรัสโคโรนากระทบเศรษฐกิจโลกมากขึ้น
  • บริษัทวิจัยคาดยอดขายสมาร์ทโฟนในจีนอาจดิ่งลง 50% ในไตรมาสแรก
  • ตลาดลุ้นรัฐบาลสหรัฐเสนองบประมาณปี 64 ขาดดุล 1.1 ล้านล้านเหรียญฯ

เมื่อเวลาประมาณ 22.05 น.ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวอยู่ที่ 29,160.75 จุดเพิ่มขึ้น 58.24 จุด +0.20% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 9,553.56 จุด เพิ่มขึ้น 33.04 จุด หรือ +0.35% ขณะที่ดัชนีเอสเแอนด์พี 500 เคลื่อนไหวที่ 3,333.92 จุด ลดลง 6.21 จุด หรือ+0.19%

ตลาดหุ้นสหรัฐยังคงแกว่งตัวในช่วงแคบ ทั้งในแดนบวกและลบสลับกันไป นักลงทุนยังคงกังวลต่อการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ที่มีผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิตรุนแรงกว่าโรคซาร์สในอดีต นอกจากนั้น ยังเริ่มกังวลถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่น่าจะรุนแรงกว่าที่คิดต่อเศรษฐกิจจีน เศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าไรก็ตาม ก็มีความหวังต่อการเร่งยุติการระบาดของทางการจีน ทำให้มีแรงช้อนซื้อหุ้นเข้ามาเช่นกัน

Canalys ซึ่งเป็นบริษัทวิจัย ระบุว่า ยอดขายสมาร์ทโฟนในจีนอาจดิ่งลงถึง 50% ในไตรมาสแรก เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เนื่องจากร้านค้าจำนวนมากปิดทำการ และโรงงานต่างๆยังไม่ได้ฟื้นการผลิตสมาร์ทโฟนยังเต็มกำลัง อันเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยแผนการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของบริษัทต่างๆอาจถูกยกเลิกหรือเลื่อนออกไป เนื่องจากจีนไม่อนุญาตให้มีการจัดงานอีเวนท์ขนาดใหญ่ในระยะนี้

ขณะที่ธนาคารกลางจีนเตรียมจัดหาเงินกู้วงเงินรวม 3 แสนล้านหยวน หรือประมาณ 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ให้กับธนาคารพาณิชย์ และธนาคารเฉพาะกิจ (policy bank) ผ่านทางโครงการเงินกู้แบบ re-lending หรือการปล่อยกู้เพื่อให้นำไปปล่อยกู้ต่อ โดยการจัดหาเงินกู้ดังกล่าวเป็นหนึ่งในมาตรการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินเพื่อควบคุมและลดผลกระทบของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในขณะนี้

ด้านภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำเนียบขาวเตรียมเปิดเผยร่างงบประมาณประจำปี 2564 ของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ วงเงิน 4.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นงบขาดดุล 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในวันนี้ เวลา 12.30 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือคืนนี้เวลา 00.30 น.ตามเวลาไทย ท่ามกลางความกังวลต่อปัญหาหนี้สินของรัฐบาล และการขาดดุลงบประมาณ

ทั้งนี้ คาดว่ารัฐบาลสหรัฐจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการผลักดันร่างงบประมาณดังกล่าวผ่านการอนุมัติของสภาคองเกรส เนื่องจากสมาชิกรัฐสภาหลายรายแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการปรับลดวงเงินความช่วยเหลือต่อต่างประเทศ และลดวงเงินสวัสดิการสังคมต่อชาวอเมริกัน โดยหากสภาคองเกรสให้การอนุมัติต่อร่างงบประมาณดังกล่าว รัฐบาลสหรัฐก็จะสามารถทำการเบิกจ่ายงบประมาณตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.