ดาวโจนส์ปิดลบ 200 จุด ตลาดยังกังวลโควิดพันธุ์ใหม่แผลงฤทธิ์

  • ทั่วโลกวิตกโควิดในอังกฤษกลายพันธุ์ที่แพร่เชื้อรวดเร็วกว่าเดิม
  • นักลงทุนเทขายหุ้นแทบทุกกลุ่มลดความเสี่ยง แต่มีแรงซื้อในกลุ่มเทคโนโลยี
  • ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐเดือนธ.ค.ร่วงต่ำกว่าคาด

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 22 ธ.ค.ที่ระดับ 30,015.51 จุด ลดลง 200.94 จุด หรือ -0.67% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 3,687.26 จุด ลดลง 7.66 จุด หรือ -0.21% ส่วนดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 12,807.92 จุด เพิ่มขึ้น 65.40 จุด หรือ +0.51%

บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับแรงกดดันจากข่าวการพบไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ที่แพร่เชื้อรวดเร็วกว่าเดิมในอังกฤษ ซึ่งทำให้ประเทศต่างๆกว่า 40 ประเทศทั้งในยุโรป เอเชีย และตะวันออกกลาง ได้ออกมาตรการจำกัดการเดินทางจากอังกฤษ ขณะที่รายงานล่าสุดระบุว่า รัฐบาลสหรัฐกำลังพิจารณาออกกฎข้อบังคับให้ผู้โดยสารทุกคนที่เดินทางมาจากอังกฤษต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ภายใน 72 ชั่วโมงก่อนออกเดินทาง

ขณะที่ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจปรับตัวลดลง Conference Board ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ระบุว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 88.6 ในเดือนธ.ค. จากระดับ 92.9 ในเดือนพ.ย. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 97.0

ด้านสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองปรับตัวลง หลังจากเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 5 เดือน โดยร่วงลง 2.5% สู่ระดับ 6.69 ล้านยูนิตในเดือนพ.ย. หลังจากแตะระดับ 6.85 ล้านยูนิตในเดือนต.ค.

อย่างไรก็ตาม มีข่าวในทางที่ดี เมื่อสภาคองเกรสได้บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 9 แสนล้านดอลลาร์เพื่อเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และยังได้อนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณวงเงิน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ที่จะทำให้หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐสามารถเปิดดำเนินการต่อไปจนถึงวันที่ 30 ก.ย.2564

ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นประมาณการครั้งสุดท้าย สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3/2563 โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 33.4% ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ที่สหรัฐเริ่มมีการรวบรวมข้อมูลในปี 2490 หรือกว่า 70 ปีก่อนหน้านี้ และดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทรงตัวจากตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ที่ระดับ 33.1%

นักลงทุนเทขายหุ้นแทบทุกกลุ่ม นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงานที่ร่วงลง 1.74% หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยหุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ดิ่งลง 2.93% หุ้นเชฟรอน ร่วงลง 2% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 1.69%

หุ้นกลุ่มสายการบินร่วงลงต่อเนื่อง หลังจากหลายประเทศประกาศระงับเที่ยวบินจากอังกฤษ โดยหุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ดิ่งลง 2.46% หุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ ร่วงลง 3.85% หุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ ร่วงลง 2.99% หุ้นเซาท์เวสต์ แอร์ไลน์ ลดลง 1.05%

หุ้นกลุ่มธุรกิจเรือสำราญและกลุ่มโรงแรมปรับตัวลงหลังจากหลายประเทศได้ออกมาตรการจำกัดการเดินทางจากอังกฤษ โดยหุ้นคาร์นิวัล คอร์ป ดิ่งลง 5.94% หุ้นนอร์วีเจียน ครูซ ไลน์ ทรุดตัวลง 6.86% หุ้นรอยัล คาริบเบียน ครูซ ร่วงลง 2.83% หุ้นไฮแอท โฮเทลส์ คอร์ปอเรชั่น ร่วงลง 1.42% หุ้นแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ลดลง 0.83% หุ้นฮิลตัน เวิล์ดไวด์ โฮลดิ้ง ร่วงลง 1.06%

อย่างไรก็ดี มึคำสั่งซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ้นแอปเปิลที่ปิดตลาดพุ่งขึ้น 2.85% หลังจากสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า แอปเปิล มีแผนที่จะผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ โดยคาดว่าจะเริ่มการผลิตได้ในปี 2567 ส่งผลให้ดัชนีแนสแด็กปิดในแดนบวก