จีน เสนอทางออกเศรษฐกิจโลกต้องใช้ ดิจิทัล อีโคโนมี แก้เท่านั้น

  • มหันตภัยจากไวรัสโควิด-19 ทำให้ชาวโลกติดเชื้อแล้ว 60 ล้านคน
  • สหรัฐยังเป็นประเทศอันดับ 1 ที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด 13 ล้านคน ตายอันดับหนึ่ง1.41 ล้านคน
  • สหรัฐ-เยอรมนี คาดหวังกระจายวัคซีนโควิดให้ประชากรตนได้
  • หลังการอนุมัติในวันที่ 10 ธ.ค. จำนวน 6.4 ล้านโดส และ 300 ล้านโดสสำหรับชาวเยอรมนี


.รายงานการระบาดของโควิด-19
การระบาดของไวรัสโควิด-19ยังคงทำลายสถิติโลกต่อเนื่อง โดยช่วงกลางสัปดาห์ ปรากฏมีรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดทั่วโลกแล้วถึง 60 ล้านคน กลายเป็นมหันตภัยลามทุ่งที่ระบบการสาธารณสุขของแต่ละประเทศเอาไม่อยู่ โดยสหรัฐยังคงเป็นประเทศที่เกิดวิกฤตที่สุดที่มีผู้ติดเชื้อวันเดียวสูงถึง 543,335 คนเสียชีวิตสะสมกว่า 1.41 ล้านคน ส่วนยอดติดเชื้อรวมเพิ่มขึ้นเป็น 13 ล้านคน สำหรับการพัฒนาวัคซีนของสหรัฐร่วมกับไบออนเทค-เยอรมนี ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาแห่งชาติ(FDA)ในวันท่ี 10 ธ.ค.และพร้อมจะแจกจ่ายไปท่ัวประเทศตามความเหมาะสมจำนวน 6.4 ล้านโดสภายใน 1 สัปดาห์หลังได้รับอนุมัติ


.”อีลอน มัสก์” รวยติดอันดับ 2 ของโลก
นายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เทสลา อิงค์ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสหรัฐได้กลายเป็นมหาเศรษ ฐีที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก แซงหน้า นายบิล เกตส์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ โดยได้แรงหนุนจากราคาหุ้นเทสลาที่พุ่งขึ้นกว่า 520% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ ซึ่งทำให้ความร่ำรวยของนายมัสก์มีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 100, 000 ล้านเหรียญในปีนี้
ราคาหุ้นเทสลายังได้รับปัจจัยบวกจากการที่บริษัท S&P Dow Jones Indices LLC ผู้จัดทำดัช นีตลาดหุ้นนิว ยอร์ก เตรียมนำหุ้นของเทสลาเข้ารวมในการคำนวณดัชนี S&P 500 ในวันที่ 21 ธ.ค.นี้ด้วย ทั้งนี้ สำนักข่าวบลูมเบิร์กได้จัดทำ Billionaires Index บ่งชี้ว่า ณ วันจันทร์ที่ 23 พ.ย.63 ว่า นายมัสก์มีทรัพย์สินรวมมูลค่าทั้งสิ้น 127,900 ล้านเหรียญ แซงหน้านายเกตส์ ซึ่งหล่นลงมาอยู่ที่อันดับ 3 ด้วยทรัพย์สินมูลค่ารวม 127,700 ล้านเหรียญโดยนับเป็นครั้งแรกที่ซีอีโอของเทสลามีมูลค่าทรัพย์สินสูงกว่าผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์
. 5 อันดับมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งที่สุดในโลก
มหาเศรษฐีผู้มั่งงคั่งที่สุดในโลกของBloomberg Billionaires Indexได้แก่ 1.เจฟฟ์ เบซอส ซีอีโอแอมะซอน (สหรัฐ): 182,000 ล้านเหรียญ 2. อีลอน มัสก์ ซีอีโอเทสลา (สหรัฐ): 127,900 ล้านเหรียญ 3. บิล เกตส์ ผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์(สหรัฐ): 127,700 ล้านเหรียญ 4.เบอร์นาร์ด อาร์โนลท์ ซีอีโอหลุยส์ วิตตอง (ฝรั่งเศส): 105,000 ล้านเหรียญ
5. มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอเฟซบุ๊ก (สหรัฐ): 102,000 ล้านเหรียญ
.จีนชี้เศรษฐกิจดิจิทัลเป็นกลไกใหม่หนุนโลก
สถาบันศึกษาไซเบอร์สเปซของจีนเปิดเผยรายงาน World Internet Development Report 2020 ระบุว่า ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมทั่วโลกนั้น เศรษฐกิจดิจิทัลถูกมองว่า จะเป็นกลไกลใหม่สำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รายงานระบุว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ได้เร่งการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกไปสู่ระบบดิจิทัล โดยเศรษฐกิจดิจิทัลมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นพลังสำคัญที่จะพลิกโฉมระบบเศรษฐกิจ ตลอดจนยกระดับขีดความสามารถด้านการกำกับดูแล
“การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้กระตุ้นอุปสงค์ด้านการประสานงานระบบคลาวด์เทอร์มินัล และการสร้างระ บบอัจฉริยะ ขณะที่อุตสาหกรรมเกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตเผชิญโอกาสด้านการพัฒนาใหม่ๆ ก่อนหน้านี้ Digital Econo my Report 2019 ระบุว่าปี 62 เศรษฐกิจดิจิทัลคิดเป็นสัดส่วน 4.5% – 15.5% ของ GDP โลก และในช่วงต้นปี 63 มีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตมากกว่า 4,500 ล้านคน โดยมีผู้ใช้โซเชียลมีเดีย 3,800 ล้านคนและคิดเป็น 60% ของผู้ใช้งานออน ไลน์ทั่วโลก”
.จีนเสี่ยงโควิดระบาดเพิ่มในฤดูหนาว
นายหลี่ บิน รองผู้อำนวยการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน (NHC)คาดการณ์ว่า จีนจะเผชิญความเสี่ยงมากขึ้นจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภายในประเทศซึ่งเกิดจากผู้ที่ติดเชื้อจากต่างประเทศ นายหลี่ กล่าวว่า จีนมีแนวโน้มที่จะพบการแพร่ระบาดแบบกระจัดกระจายหรือแบบกลุ่มก้อนเป็นระยะๆ ในช่วงฤดูหนาวและฤดูใบ ไม้ผลิที่จะถึงนี้ เพื่อจัดการกับความเสี่ยงนี้ จีนจะทำการรณรงค์ด้านสาธารณสุข และสุขอนามัยในฤดูกาลนี้ เพื่อช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และโรคติดเชื้อตามฤดูกาลอื่นๆ
.ขานรับ“ไบเดน”เล็งตั้ง“เยลเลน”นั่งคลัง
วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่านายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐมีแผนจะเสนอชื่อนางเจเน็ต เยลเลน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ(FED)ให้ดำรงตำแหน่งรมว.คลังคนใหม่ หากการเสนอชื่อได้รับการรับรองจากวุฒิสภา นางเยลเลนวัย 74 ปี ก็จะกลายเป็นสุภาพสตรีคนแรกที่ได้นั่งเก้าอี้นี้ของสหรัฐ ข่าวการเสนอ ชื่อนางเยลเลน เป็นหนึ่งในปัจจัยหนุนดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้นกว่า 300 จุด และพุ่งขึ้นต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ควบคู่ไปกับการข่าวดีของการใช้วัคซีนป้องกันไวรัสในเวลาอันใกล้ เนื่องจากตลาดเชื่อมั่นว่า นางเยลเลนจะสามารถกอบกู้เศรษฐกิจสหรัฐให้รอดพ้นวิกฤตการณ์ โดยเฉพาะช่วงที่เศรษฐกิจต้องเผชิญกับผล กระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้ ในสมัยประธานาธิบดีบารัค โอบามานางเยลเลนนับเป็นสตรีคนแรกที่ได้รับเลือกเป็นประธานเฟดหนึ่งสมัย ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะแต่งตั้งนายเจอโรม พาวเวลขึ้นมาเป็นประธานเฟดคนปัจจุบัน


.เยอรมนีเล็งเริ่มโครงการฉีดวัคซีนธ.ค.นี้
นายเจนส์ สปาห์น รมว.สาธารณสุขเยอรมนีเปิดเผยว่า เยอรมนีอาจเริ่มฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 แก่ประ ชาชนอย่างเร็วที่สุดภายในเดือนหน้า ทั้งนี้ นายสปาห์น ให้สัมภาษณ์โดยระบุว่า “มีสัญญาณบ่งชี้ว่า วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 อาจจะได้รับอนุมัติในยุโรปปีนี้ และจากนั้นเราก็จะเริ่มดำเนินการฉีดให้กับประชาชน” นายสปาห์น ได้ขอให้รัฐ บาลกลางเยอรมนีเตรียมศูนย์ฉีดวัคซีนให้พร้อม ก่อนที่วัคซีนจะได้รับการอนุมัติเพ่ือฉีดให้กับประชาชนต่อไปโดยเยอร มนีได้รับวัคซีนมากกว่า 300 ล้านโดสผ่านคณะกรรมาธิการยุโรป(EC)ตามสัญญาทวิภาคี โดยปริมาณนี้มีพอแบ่งปันแก่ประเทศอื่นด้วย
.โควิดป่วนเศรษฐกิจเกาหลีใต้ไม่แน่นอน
กระทรวงเศรษฐกิจและการคลังเกาหลีใต้เปิดเผยรายงานประเมินภาวะเศรษฐกิจรายเดือน หรือ Green Book ในวันนี้ระบุว่า เกาหลีใต้ยังคงเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 แม้มีสัญญาณบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเมื่อไม่นานมานี้ก็ตาม รายงาน Green Book ระบุว่าข้อมูลเศรษฐกิจของเกา หลีใต้เมื่อเร็วๆนี้บ่งชี้ว่า การส่งออกฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ภาคการผลิตฟื้นตัวด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี เศรษฐ กิจที่แท้จริงของเกาหลีใต้ยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน อันเนื่องจากไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาดทั่วโลกขณะที่ภาค บริการ และการจ้างงานภายในประเทศฟื้นตัวในกรอบจำกัด
ผู้บริโภคมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกที่เป็นไปอย่างล่าช้า เนื่องจากมีการแพร่ระบาดรอบใหม่ของโรคโควิด-19 ในหลายประเทศที่สำคัญและส่งผลให้เกิดการใช้มาตรการล็อกดาวน์ตามมา อย่างไร ก็ดี ประชาชนเริ่มมีความหวังมากขึ้น หลังจากผลการทดลองวัคซีนต้านโรคโควิด-19 มีความคืบหน้า โดยก่อนหน้านี้ GDP ของเกาหลีใต้ ขยายตัว 1.9% ในไตรมาส 3/63 ซึ่งเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรก โดยได้รับปัจจัยหนุนจากยอดส่งออกรถยนต์ และชิปความจำ หลังเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่าง ไรก็ดี การบริโภคภาคเอกชนยังขยับลง 0.1% และการลงทุนด้านการก่อสร้างร่วงลง 7.8%


.บิตคอยน์มีแววพุ่งแตะ 74,000 ดอลล่าร์
นักวิเคราะห์พยายามปั่นคาดการณ์ว่า บิตคอยน์มีแนวโน้มพุ่งแตะระดับ 74,000 ดอลล่าร์ในปีหน้า หลังกลับมาพุ่งขึ้นทะ ลุระดับ 19,000 ดอลลาร์เม่ือช่วงกลางสัปดาห์ ทำสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 3 ปี บิตคอยน์นับเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ทำรา คาได้ดีที่สุดในปีนี้ โดยทะยานขึ้นกว่า 166% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ส่วนในเดือนนี้ราคาบิตคอยน์ได้พุ่งขึ้นเกือบ 40% โดยบิต คอยน์ได้แรงหนุนส่วนหนึ่งมาจากบรรดาบริษัทเทคโนโลยีด้านการเงิน(ฟินเทค)ซึ่งรวมถึง PayPal และ Square ที่หันมาทำธุรกรรมบิตคอยน์ นายทอดด์ กอร์ดอน ผู้ก่อตั้งบริษัท Trading Analysis.com เปิดเผยกับรายการ “Trading Nation” ของสถานีโทรทัศน์ CNBC ว่า นับเป็นเรื่องยากที่จะประเมินมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน เนื่องจากบิตคอยน์มีจำ นวนจำกัดในขณะนี้ และคาดว่าจะมีการผลิตบิตคอยน์เพียง 21 ล้านหน่วยเท่านั้น
ขณะที่นักวิเคราะห์รายอื่นๆ มองว่า การดีดตัวของบิตคอยน์ในครั้งนี้แตกต่างจากในอดีต เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากกระแสตอบรับที่คึกคักจากกลุ่มบริษัทฟินเทค โดย PayPal ยักษ์ใหญ่ฟินเทค ประกาศว่า ทางบริษัทจะเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถทำการซื้อขายบิตคอยน์ และสกุลเงินคริปโตอื่นๆและในช่วงต้นปีหน้า โดย Pay Pal มีแผนที่จะให้ลูกค้าใช้สกุลเงินคริปโตในการซื้อสินค้าจากเครือข่ายร้านค้าปลีกจำนวน 26 ล้านรายของบริษัท ด้าน Square ซึ่งเป็นบริษัทฟินเทคของสหรัฐ เปิดเผยในเดือนก่อนว่า บริษัทได้เข้าซื้อบิตคอยน์เป็นมูลค่าถึง 50 ล้านเหรียญก่อนหน้านี้ Square ได้เปิดให้บริการสกุลเงินคริปโต สำหรับลูกค้าที่ใช้แอปพลิเคชั่น Cash ของบริษัท
บิตคอยน์ยังได้แรงหนุนจากการที่รัฐบาล และธนาคารกลางทั่วโลกพากันออกมาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเยียวยาภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มาตรการนี้ได้ทำให้สกุลเงินของหลายประ เทศอ่อนค่าลง รวมทั้งดอลลาร์สหรัฐส่งผลให้นักลงทุนหันมาถือครองบิตคอยน์ในฐานะสินทรัพย์ทางเลือกมากขึ้น
.”หลี่ เค่อเฉียง”มั่นใจเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวดี
นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีนแสดงความเชื่อมั่นว่า พัฒนาการทางเศรษฐกิจของจีนมีโอกาสที่จะกลับสู่ระดับที่เหมาะสมมากขึ้นในปีหน้า โดยระบุว่า เศรษฐกิจจะกลับมาดีดตัวอย่างแข็งแกร่ง หลังประสบภาวะถด ถอยจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปีนี้ “เศรษฐกิจจีนอยู่ในช่วงฟื้นตัวและมีแนวโน้มการเติบโตเป็นไปในทิศ ทางบวกในปีนี้ หลังได้รับผลกระทบรุนแรงในช่วงไตรมาสแรก” นายหลี่ กล่าวกับผู้นำสถาบันทางเศรษฐกิจระหว่างประ เทศทั้งหกแห่ง รวมถึงกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ด้วย
“เราคาดว่า เศรษฐกิจจีนจะกลับคืนสู่ในระดับที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้นได้ในปีหน้า นโยบายระดับมหภาคของจีนจะยังคงมีประสิทธิภาพ เสถียรภาพ และมีความยั่งยืน” นายหลี่กล่าว นายหลี่ยังเน้นย้ำถึงยุทธศาสตร์เศรษฐกิจจีนที่ให้การบริโภคเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และค่อยๆเปิดรับนักลงทุนจากต่างประเทศ นายหลี่ยังระบุว่า จีนไม่ได้จดจ่ออยู่กับยอดเกินดุลการค้า ซึ่งเป็นชนวนปัญหาที่สร้างความตึงเครียดกับสหรัฐ
“เราจะไม่เอาแต่สร้างยอดเกินดุลการค้า แต่จะให้ความสำคัญกับการนำเข้าและการส่งออกอย่างเท่าเทียมกัน เพราะเราต้องการให้ดุลการค้ามีความสมดุลและมีการพัฒนาที่ยั่งยืน” ไม่นานมานี้ จีนได้จัดทำแผนเศรษฐกิจฉบับ 5 ปี และ 15 ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันตัวเลข GDP ให้ขยายตัวได้สองเท่าภายในปี 2578 (15 ปี)โดยมุ่งเน้นที่การพึ่ง พาตนเองในด้านเทคโนโลยี และส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ


.GDP ญี่ปุ่นขยายตัว 21.4% ไตรมาส 3
สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP)ในไตรมาส 3/63 ขยาย ตัว 21.4% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาส และทำสถิติขยายตัวแข็งแกร่งที่สุดในรอบกว่า 40 ปี ทั้งนี้ GDP ไตรมาส 3 ของญี่ปุ่นขยายได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยายตัวเพียง 18% ซึ่งบ่งชี้ ว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังได้รับผลกระทบรุนแรงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส GDP ไตรมาส 3 ของญี่ปุ่นขยายตัว 5% ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยายตัว 4.2%
สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ระบุว่า การอุปโภคบริโภคในภาคเอกชน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของระ บบเศรษฐกิจนั้น ปรับตัวขึ้น 4.7% ในไตรมาส 3 ขณะที่ยอดส่งออกขยายตัว 7% เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก กำลังฟื้นตัวขึ้นจากผลกระทบของไวรัสโควิด- 19 หลังจากที่รัฐบาล ประกาศยกเลิกมาตรการฉุกเฉินเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดในช่วงปลายเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงยกเลิกการเรียกร้องให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้าน
นอกจากนี้การประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในเมืองใหญ่หลายแห่งยังเป็นปัจจัยหนุนความต้องการ สินค้าญี่ปุ่นในตลาดโลก เช่น รถยนต์ ว่าแต่การใช้จ่ายด้านทุนยังคงอ่อนแอโดยปรับตัวลง 3.4% ขณะที่การลงทุนด้าน ที่อยู่อาศัยของภาคเอกชน ลดลง 7.9% สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่ไม่แน่ นอน อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่วนยอดนำเข้าลดลง 9.8% โดยยอดสั่งซื้อน้ำมันดิบและก๊าธธรรมชาติเหลวปรับตัวลง ขณะที่ความต้องการสิน ค้านำเข้าเช่นหน้ากากอนามัยและแล็ปท็อปจากจีนอยู่ในระดับปานกลาง
.เกาหลีใต้เผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้น
ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK)เปิดเผยในวันนี้ว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกาหลีใต้เกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจปรับตัวขึ้นในเดือนนี้ โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCSI) ของเกาหลีใต้ อยู่ที่ 97.9 จุดในเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 6.3 จุดเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้านั้น
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ดัชนีดังกล่าวร่วงแตะระดับ 79.4 เมื่อเดือนก.ย. หลังเกาหลีใต้เผชิญกับการแพร่ระบาดรอบใหม่ของโรคโควิด-19 ในเดือนส.ค.และ ก.ย. แต่ก็ดีดตัวขึ้นแตะ 91.6 ในเดือนต.ค. และ 97.9 ในเดือนพ.ย. หลังยอดผู้ติดเชื้อลดลง อย่างไรก็ดี ดัชนี CCSI เดือนพ.ย.ไม่ได้สะท้อนถึงการแพร่ระบาดรอบใหม่ของโรคโควิด- 19 ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เนื่องจากดัชนีดังกล่าวมาจากการสำรวจความคิดเห็นเมื่อวันที่ 10-16 พ.ย.
ทั้งนี้ เกาหลีใต้พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 349 รายในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ทำให้ยอดสะสมทั้งหมดอยู่ที่ 31,353 ราย โดยเกา หลีใต้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในเลขหลักร้อยติดต่อกัน 17 วันแล้ว ส่วนดัชนีคาดการณ์เงิน เฟ้อซึ่งเป็นมาตรวัดมุมมองที่ผู้บริโภคมีต่อภาวะเงินเฟ้อทั่วไปในช่วง 12 เดือนข้างหน้านั้น อยู่ที่ระดับ 1.8% ในเดือนพ.ย. ไม่เปลี่ยนแปลง


.รายงาน ECB ชี้แบงก์ยุโรปฟุบยาว
ธนาคารกลางยุโรป (ECB)เปิดเผยในรายงานการทบทวนเสถียรภาพทางการเงินล่าสุดว่า ความสามารถในการทำกำไรของธนาคารในยูโรโซนไม่น่าจะฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ก่อนปี 2565 ราย งาน ระบุว่า ความสามารถในการทำกำไรของธนาคารในยูโรโซนซบเซาลงในช่วงครึ่งแรกของปี 63 ท่ามกลางผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาด และผลประกอบการในไตรมาส 3/63 ของธนาคารที่จดทะเบียนในตลาดชี้ให้เห็นว่า ความสามารถในการทำกำไรลดลงสู่ระดับต่ำกว่า 1%
ECB เสริมว่า ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่กลับมาเพิ่มสูงขึ้นในระยะนี้ ตลอดจนมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด อาจนำไปสู่การปรับลดการคาดการณ์ความสามารถในการทำกำไรของธนาคารในปีต่อๆไป รายงานชี้ให้เห็นว่า การสนับสนุนด้านนโยบายอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน ช่วยเหลือบริษัท และครัวเรือนในยูโรโซน ท่ามกลางผลกระทบทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงอาจเกิดขึ้นได้จากการยุติมาตรการก่อนกำหนด หรือการถอนการสนันสนุนที่ล่าช้า
นอกจากนี้ รายงานระบุด้วยว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจและตลาดการเงินที่กระจายไปในประเทศและภาคส่วนต่างๆ อาจนำไปสู่การกระจุกตัวของความเสี่ยงในบางพื้นที่
.“ไบเดน”เล็งเปิดตัวทีมเศรษฐกิจสัปดาห์หน้า
นางเคท เบดิงฟิลด์ ผู้อำนวยการฝ่ายการสื่อสารของนายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐเปิดเผยว่า นายไบเดนจะประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อให้เข้าร่วมทีมเศรษฐกิจและตำแหน่งสำคัญอื่นๆของคณะบริหารชุดใหม่ในสัปดาห์หน้า หลังจากการถ่ายโอนอำนาจประธานาธิบดีได้เริ่มขึ้นแล้วในสัปดาห์นี้
นางเบดิงฟิลด ์กล่าวว่า ทีมถ่ายโอนอำนาจของนายไบเดนทำงานอย่างมืออาชีพ และได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากข้าราชการ ซึ่งทำให้การถ่ายโอนอำนาจเป็นไปอย่างราบรื่น โดยเจ้าหน้าที่ในทีมงานเหล่านี้มองข้ามผลกระทบจากความล่าช้าในกระบวนการถ่ายโอนอำนาจ และไม่ได้ให้ความสนใจกับการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังคงสงสัยว่ามีการโกงเลือกตั้ง โดยทีมงานมองว่าความเคลื่อนไหวของปธน.ทรัมป์เป็นเพียง “การแสดงโชว์เพื่อขั้นรายการเท่านั้น” นางยังคาดว่า นายไบเดนจะได้รับการรายงานสรุปด้านข่าวกรองประจำวันในฐานะประธานาธิบดีเป็นครั้งแรกในวันจันทร์หน้า
ทั้งนี้ นายไบเดน ประกาศชูนโยบาย“America is back”เพื่อสะท้อนให้เห็นว่า สหรัฐพร้อมแล้วที่จะกลับมาเป็นผู้นำบนเวทีโลกอีกครั้ง และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับศัตรู แต่จะไม่ปฏิเสธเหล่าประเทศพันธมิตร นอกจากนี้ นายไบเดน ยังให้คำมั่นว่าจะทำงานร่วมกับบรรดาชาติพันธมิตรเพื่อรักษาอเมริกาให้ปลอดภัยโดยจะไม่สร้างความขัดแย้งทางทหารที่ไม่จำเป็น พร้อมกับกล่าวว่า ทีมงานของเขาได้ประสานงานกับคณะบริหารของปธน.ทรัมป์เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ การควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และแผนการแจกจ่ายวัคซีน ทันทีที่เขาได้รับการถ่ายโอนอำนาจประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา


.เยอรมนีขยายเวลาล็อกดาวน์ถึง 20 ธ.ค.
นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนีเปิดเผยว่าเยอรมนีจะขยายเวลาการใช้มาตรการคุมเข้มเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ออกไปจนถึงวันที่ 20 ธ.ค.โดยรัฐบาลได้เริ่มบังคับใช้ “มาตรการล็อกดาวน์ บางส่วน” เมื่อช่วงต้นเดือนพ.ย. และกำหนดเบื้องต้นไว้ว่าจะบังคับใช้เป็นเวลา 1 เดือน นางแมร์เคิล เปิดเผยหลังจากประชุมร่วมกับบรรดาผู้ว่าการรัฐต่างๆของเยอรมนีในวันพุธว่า จำนวนผู้ติดเชื้อในเยอรมนียังคงอยู่ในระดับที่สูงเกินไป ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้รัฐบาลยังไม่สามารถยกเลิกการใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่กำหนดในเดือนพ.ย.
สถาบันโรเบิร์ต คอช (RKI) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลเยอรมนีในการควบคุมโรคติดเชื้อ เปิดเผยเมื่อวันพุธว่า มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เพิ่มอีก 410 รายซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ส่งผลให้ยอดรวมผู้เสียชีวิตแตะ 14,771 ราย ส่วนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่เพิ่มขึ้น 18,633 ราย ส่งผลให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นเป็น 961,320 ราย
.EU เตือนเตรียมพร้อมรับมืออังกฤษแยกตัว
นางเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC)ได้ออกมาเตือนว่า สหภาพยุโรป (EU) พร้อมรับมือกรณีอังกฤษแยกตัวออกจาก EU โดยไม่มีการทำข้อตกลง (no-deal Brexit) ขณะที่ทั้งสองฝ่ายยังคงมีความเห็นแตกต่างกันในการเจรจาข้อตกลงการค้าหลัง Brexit
นางฟอน เดอร์ เลเยนได้ชี้แจงความคืบหน้าจากการเจรจากับอังกฤษในที่ประชุมรัฐสภายุโรปว่า ช่วงเวลาไม่กี่วันข้างหน้านี้จะเป็นตัวชี้ขาด”ดิฉันบอกคุณในวันนี้ไม่ได้ว่า ท้ายที่สุดแล้วเราจะบรรลุข้อตกลงหรือไม่” นางฟอน เดอร์ เลเยน แต่ EU จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อตกลง และว่า”ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ก็ย่อมมีความแตกต่างกันชัดเจนระหว่างการเป็นสมาชิก EU เต็มตัว กับการเป็นเพียงพันธมิตรสำคัญรายหนึ่ง”


.เฟดส่งสัญญาณซื้อสินทรัพย์เพิ่ม
ธนาคารกลางสหรัฐ (FED)เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 4-5 พ.ย. โดยระบุว่า กรรมการเฟดอาจจะเสนอสัญญาณชี้นำแบบใหม่สำหรับการซื้อสินทรัพย์ในเร็วๆ นี้ ขณะที่เฟดพยายามหาลู่ทางที่จะพยุงเศรษฐกิจซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 “เมื่อพิจารณาเรื่องการซื้อสินทรัพย์ กรรมการเฟดประเมินว่า เป็นเรื่องเหมาะสมที่เฟดจะเพิ่มการถือครองหลักทรัพย์ของกระทรวงการคลัง และตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) อย่างน้อยก็ให้เท่ากับระดับในปัจจุบัน”
“กรรมการเฟดหลายคนมองว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบาย (FOMC) อาจต้องการปรับปรุงสัญญาณชี้นำสำหรับการซื้อสินทรัพย์ในเร็วๆ นี้ โดยกรรมการเฟดส่วนใหญ่สนับสนุนการกำหนดสัญญาณชี้นำสำหรับการซื้อสิน ทรัพย์ที่อยู่บนพื้นฐานของผลลัพธ์ที่ได้รับอย่างมีคุณภาพ สัญญาณชี้นำในลักษณะนี้มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ FOMC ประมาณการเอาไว้ว่าจะดำเนินการซื้อสินทรัพย์โดยพิจารณาจากสภาวะเศรษฐกิจเป็นสำคัญ” อย่างไรก็ดี กรรมการเฟดบางคนได้แสดงท่าทีลังเลที่จะปรับเปลี่ยนสัญญาณชี้นำสำหรับการซื้อสินทรัพย์ในระยะเวลาอันใกล้นี้ เนื่องจากพิ จารณาถึงความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ รายงานการประชุมเฟดยังระบุว่า กรรมการเฟดยังคงมองว่าความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐ กิจนั้น เพิ่มขึ้นค่อนข้างรวดเร็ว และทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระ บาดของโรคโควิด-19 สำหรับการประชุมเฟดซึ่งมีขึ้นเมื่อวันที่ 4-5 พ.ย.ที่ผ่านมานั้น ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัต ราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% ตามที่ตลาดคาดไว้
พร้อมระบุว่า เฟดจะยังคงซื้อพันธบัตรรัฐบาลตามมาตร การผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) อย่างน้อย 120,000 ล้านเหรียญต่อเดือน รวมทั้งใช้เครื่องมืออื่นตามที่จำเป็น โดยขึ้นอยู่กับพัฒนาการทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ