

หากย้อนกลับไปหลายปีที่ผ่านมา ทุกคนคงภูมิใจกับ “ข้าวไทย” ที่เป็นที่หนึ่งของโลกมาโดยตลอด ทั้งในด้านของคุณภาพ และปริมาณการส่งออก แต่ 2-3 ปีที่ผ่านมา ข้าวไทยถูกแซงจากข้าวเวียดนาม ข้าวอินเดีย หรือล่าสุด ข้าวจากกัมพูชา ทำให้เราตกจากอันดับหนึ่งที่เคยครองมาตลอด
“เศรษฐกิจคิดง่าย ๆ” ครั้งนี้ จึงเป็นการหาคำตอบให้กับ “ข้าวไทย” ผ่านบทความ “ส่งออกข้าวไทย จะรอดได้ต้องแก้ให้ตรงจุด” ของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งจัดทำขึ้น โดยนายสมบูรณ์ หวังวณิชพันธุ์ นายณวรา สกุล ณ มรรคา นางสาวพิมพ์ชนก แย้มสงค์ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ
บทความดังกล่าว ระบุว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การส่งออกข้าวไทยเผชิญความท้าทายทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้งที่เกิดบ่อยขึ้น ผลผลิตข้าวโลกที่เพิ่มขึ้น และประเทศคู่แข่งพัฒนาพันธุ์ข้าวที่ดีขึ้น ทำให้ไทยเสียส่วนแบ่งตลาดข้าวโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ
ขณะที่คู่แข่งหลักอย่างเวียดนามและอินเดียยังรักษาหรือเพิ่มส่วนแบ่งตลาดส่งออกได้ โดยในปี 2563 ไทยส่งออกข้าวลดล 25% จากปีก่อน ขณะที่เวียดนามส่งออกข้าวลดลงเพียง 2% จากมาตรการห้ามส่งออกข้าวเพื่อรักษาปริมาณข้าวในประเทศในช่วงโควิด-19 ขณะที่อินเดียส่งออกเพิ่มขึ้นกว่า 40% จากผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ทำให้การส่งออกข้าวไทยตกมาเป็นที่ 3 จากอดีตเคยอยู่ที่ 1
และสาเหตุที่ทำให้ข้าวไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาด จากการศึกษาพบว่าเกิดจาก 1.ปัญหาผลิตภาพต่ำและต้นทุนสูงทำให้ข้าวไทยแข่งขันด้านราคาไม่ได้ โดยผลผลิตต่อไร่ของไทยในปี 2561 เฉลี่ยอยู่ที่ 495 กก.ต่อไร่ เทียบกับเวียดนามที่ 931 กก.ต่อไร่ ขณะที่ต้นทุนของไทยสูงกว่าเวียดนาม 30% และต้นทุนยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
2.พันธุ์ข้าวไทยไม่ตรงความต้องการของผู้บริโภค ไทยส่งออกข้าวขาวเป็นหลัก ซึ่งเป็นข้าวพื้นแข็งราคาถูกและแข่งขันที่ราคา แต่ปัจจุบันผู้บริโภคต่างประเทศหันมาบริโภคข้าวพันธุ์พื้นนุ่มมากขึ้น เพราะราคาไม่แพงแต่มีความนุ่มคล้ายข้าวหอมมะลิ แม้ในไทยมีการพัฒนาข้าวพันธุ์พื้นนุ่มและได้รับการรับรองแล้วหลายพันธุ์ แต่ปลูกไม่แพร่หลายนัก จึงยังไม่มีผลผลิตป้อนตลาด ขณะที่เวียดนามพัฒนาพันธุ์ข้าวนุ่มและส่งออกแล้ว
3.ถึงสู้ไม่ได้ แต่ข้าวไทยยังการเน้นแข่งขันราคาในระยะสั้น ซึ่งยิ่งทำให้ภาคการผลิตอ่อนแอลง เนื่องจากข้าวเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีความแตกต่างน้อย ผู้ส่งออกข้าวไทยจึงเน้นแข่งขันราคาเป็นหลัก โดยเฉพาะกับคู่แข่งอย่างเวียดนามที่ส่งออกชนิดข้าวใกล้เคียงกัน
ในอดีตราคาส่งออกข้าวขาวไทยเฉลี่ยสูงกว่าเวียดนามประมาณ 40 เหรียญสหรัฐต่อตัน แต่ไทยกลับส่งออกได้มากกว่า เนื่องจากผู้ซื้อเชื่อมั่นในคุณภาพและมาตรฐานที่ไม่มีกรวดและหินปน แต่เมื่อคู่แข่งพัฒนาคุณภาพข้าวและการผลิต ทำให้ความได้เปรียบของไทยเริ่มลดลง ผู้ส่งออกพยายามแข่งขันลดราคาเพื่อเพิ่มยอดขายและรักษากำไรให้เท่าเดิม ทำให้เกิดการกดราคาต่อกันเป็นทอดๆ ทั้งราคารับซื้อจากโรงสี และชาวนาตามลำดับ
ปัญหาทั้งหมดจึงถูกผลักไปให้ชาวนาที่ไม่มีอำนาจต่อรองและไม่สามารถลดต้นทุนที่สูงได้ ทำให้ความเป็นอยู่ของครัวเรือนชาวนาอ่อนแอลง ท้ายสุดภาครัฐเข้ามาช่วยอุดหนุนรับภาระเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท เป็นวงจรที่ยากจะแก้ไขเพราะต้นเหตุปัญหาที่แท้จริงยังคงอยู่ ทำให้การยกระดับและพัฒนาห่วงโซ่อุปทานข้าวไทยไม่คืบหน้า
“นักค้าข้าวในตลาดโลกรู้กันดีว่า ข้าวไทยไม่สามารถที่จะใช้ราคาแข่งขันได้อีกต่อไป กรณีที่เห็นได้ชัดคือในปี 2563 เวียดนามลดราคาข้าวขาวแข่งกับจีนที่ลดราคาเพื่อระบายสต็อกข้าว ทำให้ราคาข้าวขาวเวียดนามต่ำกว่าไทยถึง 100 เหรียญต่อตัน ซึ่งไทยไม่สามารถลดราคาไปแข่งขันได้ขนาดนั้น ขณะที่เวียดนามลดราคาได้มากเพราะส่วนต่างราคาขายและต้นทุน (margin) ที่สูงกว่าไทยมาก”
ดังนั้น ทางออกจึงควรกลับไปแก้ให้ตรงจุด คือ 1. ปรับการผลิตพันธุ์ข้าวให้ตรงความต้องการตลาด และหาตลาดที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ด้วยรสนิยมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ตลาดข้าวพื้นนุ่มกำลังขยายตัวในหลายประเทศ หน่วยงานรัฐและเอกชนที่ใกล้ชิดตลาดต่างประเทศควรส่งสัญญาณล่วงหน้าเพื่อให้ภาคการผลิตมีเวลาปรับตัวไม่ให้เสียโอกาสเข้าสู่ตลาดข้าวลักษณะนี้ รวมทั้งหาตลาดข้าวที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น เช่น ข้าวอินทรีย์ที่มีแนวโน้มขยายตัวตามกลุ่มผู้บริโภคที่ยอมจ่ายแพงเพื่อดูแลสุขภาพมากขึ้น
2.เพิ่มผลผลิตต่อไร่เพื่อให้ต้นทุนเฉลี่ยลดลง โดยจากงานศึกษาหลายฉบับ ผู้เขียนบทความ พบว่าการใช้ปุ๋ยสั่งตัด หรือปุ๋ยที่ผสมเองให้มีธาตุอาหารตรงกับความต้องการจะช่วยเพิ่มผลผลิตต่อไร่และลดต้นทุนลง เพราะข้าวได้สารอาหารที่ต้องการและไม่เสียปุ๋ยส่วนเกินที่ไม่จำเป็น ทำให้พืชทนทานกับโรคและแมลงได้มากขึ้น ซึ่งช่วยลดต้นทุนการใช้สารเคมีกำจัดโรคและแมลงได้อีก
ขณะที่การเพาะปลูกข้าวให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ และจัดการดินตามระดับความอุดมสมบูรณ์จะช่วยเพิ่มผลผลิตเฉลี่ย 20 -60% หากชาวนาได้นำไปปรับใช้จะช่วยเพิ่มกำไร ซึ่งสามารถใช้รองรับวันที่อาจเกิดเหตุการณ์ไม่เป็นใจได้ เช่น ราคาข้าวปรับลดจากความต้องการข้าวในตลาดโลกลดลง และ
3. หาวิธีลดต้นทุนปัจจัยการผลิตหลักลง โดยเฉพาะ ต้นทุนปุ๋ยที่มีสัดส่วนถึง 26 % ของต้นทุนทั้งหมดและเป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ราคาปุ๋ยยูเรียในตลาดโลกที่คิดเป็นเงินบาทปรับลดลง 18% ในครึ่งหลังของปี 2562 ที่่ผ่านมา แต่ราคาขายส่งปุ๋ยยูเรียในไทยกลับลดลงเพีย 5% เท่านั้น และในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งขึ้นแต่ราคาปุ๋ยที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศกลับไม่ปรับลดลง ทำให้ชาวนายังมีต้นทุนที่สูงอยู่
ผู้เขียนบทความ มองว่า ที่ผ่านมานโยบายภาครัฐเข้าไปแก้ปัญหาที่ปลายทาง เช่น ประกันราคา ประกันรายได้ อุดหนุนต้นทุน ซึ่งการมุ่งแก้ปัญหาระยะสั้นแต่ไม่เข้าไปจัดการกับต้นตอของปัญหาอย่างจริงจัง จะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยถูกกัดกร่อนลงเรื่อย ๆ และท้ายที่สุดความได้เปรียบของไทยจากคุณภาพและมาตรฐานที่สูงกว่าก็จะหมดลง
หากรัฐจะผลักดันให้การส่งออกข้าวไทยออกจากวงจรที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ควรหันมาเน้นนโยบายต้นทางด้านการผลิตเพื่อช่วยยกระดับผลิตภาพ คุณภาพ และมาตรฐาน โดยวันนี้ถึงเวลาแล้วที่ควรปรับเปลี่ยน การแก้ปัญหาที่ตรงจุดจะช่วยให้การส่งออกข้าวไทยรอดและกลับมายั่งยืนในระยะยาว
#TheJournalistClub #โควิด19 #JNC #เศรษฐกิจคิดง่ายๆ