ตำรวจ บุกทลายแอปฯปล่อย เงินกู้ต่างชาติ

  • บุกทลาย App เงินกู้ต่างชาติ
  • ผงะลูกหนี้นับหมื่น จ่ายไม่ตรง-ส่ง sms ประจาน

เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. ตามนโยบาย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ที่ห่วงใยประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ จึงสั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้แก่ประชาชนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.จึงได้จัดตั้ง ศูนย์ป้องกันปราบปราม    การกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ “ศปน.ตร.” ขึ้น โดยมอบหมายให้ พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วยผบ.ตร. เป็น ผู้อำนวยการศูนย์ มีภารกิจในการปราบปรามและดำเนินคดีกับผู้มีอิทธิพล บุคคล หรือกลุ่มบุคคล ที่มีพฤติการณ์ให้ประชาชนกู้ยืมเงินโดยผิดกฎหมาย และ เรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด หรือมีลักษณะเป็นการทำสัญญาเอารัดเอาเปรียบประชาชน  การทวงถามหนี้โดยผิดกฎหมาย หรือการกู้ยืมเงินที่มีลักษณะเป็นการฉ้อโกงประชาชน

ศปน.ตร. ได้รับร้องเรียนจากประชาชนจำนวนมาก ว่าได้มีการกู้ยืมเงินผ่าน Applicationเงินกู้นอกระบบ ชื่อ “TRUE CASH PRO” ซึ่งมีการเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด โดยใช้วิธีการให้ผู้กู้ติดตั้ง Application ลงในโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเมื่อกู้ผ่านแล้วจะถูกหักค่าบริการออกจากเงินกู้ แต่ลูกหนี้ยังต้องชำระเงินเต็มจำนวนพร้อมดอกเบี้ย หากไม่ชำระตามกำหนดเวลา จะมีการทวงหนี้ในลักษณะข่มขู่ ด่าทอ คุกคาม และมีการส่งข้อความ SMS เกี่ยวกับการเป็นหนี้ให้แก่บุคคลที่สาม ทำให้ผู้กู้ได้รับความอับอาย และเสื่อมเสียชื่อเสียง

ทั้งนี้จากการสืบสวนพบว่า TRUE CASH PRO  ดำเนินการโดยกลุ่มนายทุนต่างชาติ มีเงินหมุนเวียนในระบบต่อเดือน สูงถึงกว่าห้าสิบล้านบาท มีบัญชีเงินฝากที่เกี่ยวข้องในระบบหลายสิบบัญชี และมีบัญชีลูกหนี้นับหมื่นราย พล.ต.ท. ปิยะ พร้อมด้วย พล.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบช.ก.และรอง ผอ.ศปน.ตร. และ พล.ต.ต.สมชาย เกาสำราญ รองผบช.ก.และเลขานุการ  ศปน.ตร. จึงได้มอบหมายให้ชุดปฏิบัติการส่วนกลาง นำโดย พล.ต.ต. ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ปอศ.ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ ให้สืบสวนการกระทำความผิดของแอปพลิเคชั่น TRUE CASH PRO และบุคคลที่เกี่ยวข้อง
จากการสืบสวน พบว่า TRUE CASH PRO มีการระมัดระวังในการกระทำความผิด

โดยย้ายที่ตั้งสำนักงานบ่อยครั้งในช่วง 3 – 4 เดือนที่ผ่านมา เพื่อให้ยากแก่การติดตาม จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่ามีการโอนย้ายเงินไปยังบัญชีต่างๆ อย่างสลับซับซ้อน แบ่งบัญชีเงินฝากเป็นกลุ่มต่างๆ ตามลักษณะการใช้งาน คือ   บัญชีสำหรับรับโอนชำระหนี้ , บัญชีสำหรับโอนเงินกู้ให้ลูกค้า , บัญชีสำหรับเพิ่มทุนในระบบ และ บัญชีสำหรับแบ่งผลประโยชน์ และยังมีการว่าจ้างบริษัททวงถามหนี้ทวงหนี้แทน เพื่อปกปิดอำพรางความผิด ซึ่งจากการสืบสวนพบว่ามีการว่าจ้าง บริษัททวงหนี้แห่งหนึ่ง ย่านโชคชัย 4 ให้ดำเนินการทวงถามหนี้ให้ โดยได้รับรายชื่อลูกหนี้ให้ติดตามเดือนละประมาณ 5,000 ราย โดยทาง TRUE CASH PRO จะจ่ายค่าจ้างให้รายละ 580 บาท  หากสามารถเก็บเงินกู้ได้ครบตามจำนวน สำหรับในส่วนของบุคคลที่เกี่ยวข้องนั้นพบว่ามีชาวจีนเกี่ยวข้องหลายราย ทำหน้าที่ทั้งในส่วนที่เป็น ผู้บริหาร ผู้จัดการ และ เจ้าของบัญชี กก.5 บก.ปอศ. จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานการกระทำความผิดของผู้เกี่ยวข้อง และได้ขออนุมัติหมายจับต่อ ศาลแขวงพระนครเหนือ จำนวน 7 ราย โดยเป็นหมายจับนิติบุคคล จำนวน 2 ราย ประกอบด้วย นายเหยา เซียน ตง นายหวัง ฉิว หรุย นายหยู เจ้อ จาง นายล่าง จู นายซ่ง ซ่ง จู บจก.ทรู ฟินเทค  ในฐานะนิติบุคคล และบจก.อีลิท เมมเบอร์ชิป ในฐานะนิติบุคคล

ต่อมาเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ปอศ.,พ.ต.อ.สมพล อิสสระเสรี รอง ผบก.ปอศ.,พ.ต.อ.คธาธร คำเที่ยง รอง ผบก.ปอศ., พ.ต.อ.พัฒนา ฉายาวัฒน์ รอง ผบก.ปอศ. พร้อมด้วย พ.ต.อ.ภาดล จันทร์ดอน ผกก.5 บก.ปอศ. และ จนท.กก.5 บก.ปอศ. ได้สืบทราบว่า TRUE CASH PRO ย้ายสถานที่ไปตั้งอยู่ในพื้นที่ พัทยา อ.บางละมุง จว.ชลบุรี จึงได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ปอศ. พร้อมหมายค้นของศาลเข้าปฏิบัติการตรวจค้นสถานที่พร้อมกันประกอบด้วย


สำนักงานที่ทำการของแอปพลิเคชั่น TRUE CASH PRO เลขที่ 206/57หมู่ 9 ถนนพัทยากลาง เมืองพัทยา อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ผลการตรวจค้นพบอุปกรณ์คอมพิวเตอร์จำนวนมาก และพบพนักงานของแอปพลิเคชั่น TRUE CASH PRO จำนวน 10 คน กำลังติดต่อทวงถามหนี้กับลูกหนี้ เข้าตรวจค้น บริษัททวงถามหนี้ย่านโชคชัย 4 ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัททวงถามหนี้ที่แอปพลิเคชั่น     TRUE CASH PRO ว่าจ้างให้ทวงถามหนี้แทน ในการตรวจค้นภายในบริษัทฯ พบกรรมการบริษัทฯ และพนักงาน จำนวน 6 คน กำลังทำการติดต่อทวงถามหนี้กับลูกหนี้ จากการตรวจสอบเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องพบว่าเป็นการทวงถามหนี้จากลูกหนี้ของแอปพลิเคชั่น TRUE CASH PRO อพาร์ทเมนท์ ซึ่งเป็นที่พักของผู้ต้องหาในคดี ในย่านพัทยา อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ในการตรวจค้นสถานที่ทั้ง 3 แห่ง พบอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และของกลางจำนวนมาก ประกอบด้วย

เครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค จำนวน 11 เครื่อง เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ จำนวน 11 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ จำนวน 35 เครื่อง สอบถามผู้เกี่ยวข้องรับว่า เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจให้กู้ยืมเงิน และใช้ทวงหนี้ จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นของกลาง ได้เชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด จำนวน 17 คน มาสอบสวน นอกจากนี้จากการตรวจค้น ได้ทำการจับกุมตัวผู้ต้องหา จำนวน 2 คน ได้แกา นายล่าง จู อายุ 29 ปี สัญชาติจีน หมายจับศาลแขวงพระนครเหนือ ที่ จ.277/2563


นายซง ซง จู อายุ 28 ปี สัญชาติจีน หมายจับศาลแขวงพระนครเหนือ ที่      จ.342/2563 ในความผิดฐาน “ร่วมกันประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต และเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด” ดำเนินการอายัดบัญชีเงินฝากที่เกี่ยวข้องกับแอปพลิเคชั่น TRUE CASH PRO จำนวนทั้งสิ้น 31 บัญชี จาก 6 ธนาคาร รวมเงินที่อายัดจำนวนทั้งสิ้นกว่า 22,000,000 บาท ซึ่งจะได้มีการนำส่งของกลาง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และของกลางอื่นๆ ไปทำการตรวจพิสูจน์ทางเทคโนโลยี ทั้งนี้หากพบการกระทำความผิดหรือมีผู้กระทำความผิดเพิ่มเติม จะได้ทำการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมและดำเนินคดีอย่างเฉียบขาด ในทุกฐานความผิด

พล.ต.ท. ปิยะกล่าวว่า จากคดีนี้จะเห็นว่า ปัจจุบันกลุ่มนายทุนเงินกู้นอกระบบซี่งมีทั้งคนไทยและกลุ่มทุนต่างชาติ ซึ่งได้เข้ามาหาประโยชน์เอารัดเอาเปรียบประชาชนที่กำลังเดือดร้อน มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการกระทำความผิดไปจากเดิมเป็นอย่างมาก โดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ เพื่อให้เข้าถึงประชาชนเป็นจำนวนมากได้โดยง่าย ส่งผลให้เกิดความเสียหายในภาพรวมเป็นวงกว้าง

ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงใคร่ขอประชาสัมพันธ์พี่น้องประชาชนให้ทราบถึงกลุ่มมิจฉาชีพเงินกู้นอกระบบที่มาในรูปแบบใหม่ๆ อาศัยความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เพื่อให้ผู้กู้สามารถเข้าถึงบริการได้ง่ายดายเพียงปลายนิ้วสัมผัส โดยอาจมองข้ามถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นตามมา ขอประชาชนอย่าได้ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มผู้ลักลอบปล่อยเงินกู้นอกระบบที่เรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยในลักษณะที่เอารัดเอาเปรียบประชาชน และขอฝากเตือนพี่น้องประชาชนที่คิดจะมาสมัครงานทวงหนี้ให้กับบริษัทที่ปล่อยเงินกู้ในลักษณะนี้    โดยเฉพาะที่มีชาวต่างชาติมาดำเนินกิจการ เพราะอาจเข้าข่ายเป็นการร่วมกันกระทำความผิดและอาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมายได้

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า สำหรับพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน หรือต้องการแจ้งเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับ  เงินกู้นอกระบบ สามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชั้น 1 อาคาร กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพระราม 1 เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ หรือโทรศัพท์สายด่วน 1599 และ 0 2255 1898 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง