

ในอาณาจักรที่มีรั้วรอบขอบชิด มีอาณาบริเวณร่มรื่นกว้างใหญ่ไพศาล เป็นที่สถิตย์ของหมู่มวลปัญญาชนริมถนนวิภาวดีรังสิตนั้น
ใครจะคาดคิดล่ะว่า ที่นั่นคือ ตำบลกระสุนตกที่ผู้คนทั้งภายใน และ ภายนอกต่างก็มีเป้าหมายจะแย่งชิงอำนาจกัน และใช้เป็นเครื่องมือเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เข้าตัว
วีรกรรมของพวกเขาเนี่ย ตำราซุนกูเปรียบเปรยว่า มันคือ การฆ่าน้อง ฟ้องนาย และ ขายเพื่อน…เหนือกว่านั้น มันอาจเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ถ้าไม่ดูแลรักษาผลประโยชน์ของตัวเองให้ดี!
ก่อนจะเข้าสู่เรื่องราวอันเข้มข้นในอาณาจักรใหญ่ ของ บริษัทพลังงานแห่งชาติ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ย่าอยากให้เรื่องที่นำมาเล่าให้ฟังนี้ เป็นกรณีศึกษาที่ไม่ได้มีเจตนาทำให้ผู้ใดเสียหาย หรือสะเทือนใจ อีกทั้งไม่ได้มีเจตนาสนับสนุนความรุนแรงใดๆในทุกรูปแบบ ผู้อ่านจึงโปรดใช้วิจารณญาณ
หัสเดิมเริ่มแรก ต้องถามว่าในที่นี้มีใครไม่รู้จักบริษัทที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนอย่าง บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STARK บ้าง
ในช่วงกลางเดือน มิ.ย.ที่เพิ่งมานี้ ผู้บริหาร และผู้ถือหุ้น STARK ถูกกระชากหน้ากาก หลังตลาดหลักทรัพย์สอบสวนพบว่ามีการฉ้อโกงผู้ลงทุนทั้งรายย่อย รายใหญ่ สถาบัน และบรรดาแบงก์เจ้าหนี้ ด้วยการสร้างรายได้ยอดขายปลอม และกำไรปลอมๆขึ้นเพื่อล่อให้นักลงทุนเข้าไปติดกับ
ย้อนรอยกลับไปนิด STARK เข้าตลาดมาโดยวิธีการ Back-door Listing ตั้งแต่ปี 2562 โดยระบุว่าทำธุรกิจขายสายไฟฟ้า ชูจุดเด่นเป็นตัวแทนจำหน่ายแบรนด์สายไฟฟ้าระดับโลก แถมยังถือหุ้นบริษัทสายไฟฟ้าชั้นนำ จนกลายเป็นบริ ษัทสายไฟฟ้าติดอันดับโลกด้วย
ขณะที่ผลประกอบการ 4 ปี (2562 – 2565) มีรายได้เป็นหมื่นล้านติดต่อกัน และเพิ่มขึ้นเป็น 21,877 – 27,129 ล้านใน 2 ปีหลัง ส่วนกำไร เริ่มต้นปีแรกมีร้อยกว่าล้าน แล้วดันขึ้นเป็นพันล้านจนถึง 2,783 ล้านบาท ช่วง 9 เดือนของปี 2565 มีกำไร 2,216 ล้านบาท
ผลประกอบการบวกราคาคุยทำให้เหล่านักลงทุนน้อยใหญ่ รวมทั้งสถาบันการเงินทั้งไทย และเทศ ตบเท้ากันเข้าไปถือหุ้นจนทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นยอดดอย ยิ่งบริษัทสบโอกาสประกาศจะเพิ่มทุนอีกกว่า 5,000 ล้านบาท จาก 12 กองทุนเพื่อนำไปควบรวมกิจการ ก็ยิ่งเพิ่มความเย้ายวนแก่นักลงทุนมากขึ้น
แต่เมื่อสิ้นสุดปี 2565 บริษัทกลับไม่ส่งงบประจำปีได้ จนตลาดขึ้นเครื่อง หมาย SP ห้ามการซื้อขายหุ้นชั่วคราว และท้ายสุดคำตอบก็เฉลยออกมาว่ามีการปลดผู้บริหารเดิม เพราะพบการทุจริตภายในที่ทำให้งบการเงินในช่วง 4 ปีเติบ โตผิดไปจากความเป็นจริง หรือ เป็นการแต่งงบขึ้นมานั่นแหละ
สรุปรวมความเสียหายทั้งหมดมีมูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาท ซ้ำยังทำให้นักลงทุนขาดทุนไปมากถึง 90% จากราคาหุ้น และการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้!!
ย้อนมาไกลไปนิด ย่าขอกลับเข้าสู่ตำบลกระสุนตกในช่วงระหว่างที่บริษัทนี้กำลังเนื้อหอม มีกลุ่มล็อบบี้ยิสต์ที่อ้างตัวเป็นเจ้าของบริษัททำสายไฟ และเคเบิ้ลเจนใหม่ไฟแรงลูกพ่อค้าเรือดำน้ำ อาศัยความคุ้ยเคยเสมือนเป็นลูกหลานกับ “ลุงอ้วนใจดี” ไปขอให้ลุงมีคำสั่งให้ CEO บมจ.ปตท.คืออรรถพล ฤกษ์วิบูลย์ นำเงินปตท.ไปซื้อหุ้น STARK เพื่อการลงทุน
คำตอบว่า “ครับ” คือ การส่งเรื่องที่เสนอมา ไปให้อนุกรรมการบอร์ดศึกษาว่า ปตท.ควรลงทุนในหุ้นนี้หรือไม่ และเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ลุงอ้วนใจดี ก็ทวงถามอีกครั้ง จนได้รับคำตอบว่า ได้ส่งให้ผู้มีอำนาจคือ สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รมว.กระทรวงพลังงาน พิจารณาแล้ว
ถึงวันนัดประชุมบอร์ดอีกครั้ง มีรายงานแจ้งว่า รมว.พลังงาน จะไปเจรจาเรื่องกับคนกลุ่มนี้เอง นัยว่า นอกจากจะมีประเด็นการเมืองแบบลอบบี้ยิสต์จะช่วยหนับหนุนเรื่องทุนรอนในการแจกกล้วยแล้ว ยังมีข้อที่ต้องไปถกเถียงกันเรื่องราคาซื้อขายด้วย ว่าแต่เอาไปเอามา ตกลงกันไม่ได้รมว.พลังงานจึงสั่งให้เก็บเรื่องเข้า เก๊ะไป เพราะมันกระจอก!
คำว่า มัน “กระจอก”เนี่ย จริงเท็จยังไม่ได้เรียนถามอดีตรมว.พลังงาน ว่า มันไม่ให้ราคาที่ดีกับ ปตท.หรือไร? ถ้าใช่ ก็ต้องขอบคุณท่านจริงๆเพราะนั่นทำให้ปตท. ไม่เกิดความเสียหาย
ว่าแต่ หลังจาก STARK ถูกกระชากหน้ากากในกลางปี 2566 เรื่องราวกลับโอล่ะพ่อ ว่า โชคดี ของ ปตท.ที่บอร์ดไม่อนุมัติให้ “โด่ง” ทำเรื่องนี้…ไม่งั้นล่ะก็ ฉห.กันหมด!!
“โด่ง” มันต้องถูกปลดในวันนั้น แน่นอน
เกือบไปแล้ว เกือบตายยกรังเลย ว่างั้นเหอะ!!
