คิดว่า คำพูดในประโยคที่ว่า “ประเทศกูมี” จะไม่ได้ยินได้ฟังที่ไหนอีกแล้ว
ก็เพิ่งจะได้ยินได้ฟังในรายการ “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand” ของคุณพี่ “หมาแก่ – แมวสาว” ที่หยิบขึ้นมาเป็นประเด็นพาดหัวในรายการวิเคราะห์ข่าว กรณีที่ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ถูกคณะกรรมการกฤษฏีกา 3 ชุด ชี้รวดเดียวเลยว่าขาดคุณสมบัติในการเข้าไปนั่งในตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) นี่แหละ
บันทึกของคณะกรรมการกฤษฏีกาทั้ง 3 ชุดตั้งแต่ชุดที่ 1,2 และ 3 ที่มี มีชัย ฤชุพันธุ์ ผู้ออกแบบรัฐธรรมนูญฉบับปี 60, ดร.วิษณุ เครืองาม เนติบริกร และ ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานสสร.ผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 40…สามเจ้าสำนักกฏหมายใหญ่ ผู้เป็นทั้งตำนาน และแกนนำชนชั้นอีลีทของประเทศไทย…
ตัดสินชี้ขาดว่า กิตติรัตน์ ขาดคุณสมบัติในการเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติเพราะเคยเป็นที่ปรึกษาอดีตนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เข้าเกณท์การเป็นนักการเมือง และเสี่ยงที่จะผลักดันเข้าไปนั่งเก้าอี้ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ
เพราะหากมีผู้ร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอีก นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ก็อาจถูกศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินให้ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ และห้ามเล่นการเมืองไปตลอดชีวิต เช่นเดียวกับ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 อีก
นี่เป็นการตอกฝาโลงไม่ให้คนจากพรรคการเมือง หรือ ผู้ได้รับการแต่งตั้งให้เข้า ไปมีตำแหน่งแห่งที่ทางการเมือง เข้าไปเป็นยุ่งเกี่ยว แตะต้อง หรือบังอาจจะนั่งเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ และองค์กรอิสระอื่นๆหรือไม่?!
- แคนดิเดตประธานบอร์ดแบงก์ชาติ
- ล้วนเกี่ยวพันกับการเมืองทั้งส้ิน
แล้วผู้ที่แบงก์ชาติส่งเข้าไปเป็นแคนดิเดตสู้กับ กิตติรัตน์ คราวที่ต้องมีการคัดสรรกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่เคยยุ่งเกี่ยว พัวพัน และ/หรือได้รับตำแหน่งจากรัฐบาลทหาร และที่มาจากการเมืองทั้งส้ินล่ะ
ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็น กุลิศ สมบัติศิริ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน ผู้ได้รับการแต่งตั้งจากอดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาองคมนตรี ให้ข้ามห้วยจากระทรวงการคลังไปดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงพลังงาน
หลังเกษียณราชการมาแล้ว กุลิศ ยังได้รับการแต่งตั้งให้เข้าไปเป็นที่ปรึกษาอดีตนายกฯเศรษฐา เมื่อครั้งเขายังดำรงตำแหน่งด้วย ส่วน ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยทำหน้าที่เป็นพยานให้พรรคก้าวไกลในการชี้แจงศาลรัฐธรรมนูญเพื่อไม่ให้มีการยุบพรรคก้าวไกลด้วยปะไร
มีคำถามว่า ถ้าคนใดคนหนึ่งที่แบงก์ชาติส่งเข้าไปเป็นแคนดิเดตกับ กิตติรัตน์ ตัว แทนกระทรวงการคลัง และรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ได้รับการเลือกเข้าไปเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ เขาทั้งสองจะถูกกฤษฏีกาตีความว่า ขาดคุณสมบัติหรือไม่?
ถ้าไม่ และ ได้รับการแต่งตั้งให้เข้าไปนั่งแป้นแร้นเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติอย่างราบรื่น จะแปลว่า ประเทศไทยยังหนีไม่พ้นการมีกฏเกณท์ 2 มาตรฐานที่นานาอารยะประเทศไม่มีแล้ว คงเหลือแต่ประเทศไทยนี่แหละที่ยังเป็น“ประเทศ
กูมี”ต่อไป ใช่ หรือไม่
- ดัน กิตติรัตน์ “ตัวตึง” พ้นตำแหน่ง
- ฐานแก้“หนี้ครัวเรือน” 16 ล้านล้าน
อันที่จริง การขาดคุณสมบัติของ กิตติรัตน์ ไม่ได้มีเรื่องเดียว ถ้าจะว่ากันตรงๆ กิตติรัตน์ น่ะ จัดว่าเป็น “ตัวตึง” ของแบงก์ชาติมานาน ตั้งแต่ที่ได้รับมอบหมายให้แก้ไขปัญหาเรื่องหนี้สินครัวเรือนในช่วงระหว่างที่อดีตนายกฯเศรษฐา ยังคงทำหน้าที่อยู่
เพราะหนี้สินครัวเรือนในช่วงเวลานั้นสูงที่สุดถึง 91% มูลค่ารวมมากถึง 16 ล้านล้านบาท ถ้าปล่อยทิ้งไว้ รัฐบาลเกรงจะเกิดปัญหากับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ และคนไทยในฐานะลูกหนี้ ซึ่งมีเกษตรกรอยู่ในสัดส่วนที่มากสุด ขณะที่หนี้สินส่วนใหญ่ เป็นรถกระบะ รถยนต์ บ้าน และบัตรเครดิต
การแก้ปัญหาที่ทำไม่ได้อย่างทันท่วงที เป็นเพราะมูลหนี้สะสมมาเป็นเวลานานจนกลายเป็นวิกฤต ส่งผลให้แบงก์พาณิชย์ และไฟแนนซ์ยึดรถ และบ้านกลับมาอยู่ในมือหมด นั่นเป็นสาเหตุให้เต้นท์รถมือสองเดือดร้อนตามไปด้วย
กระทบเป็นลูกโช่ถึงการผลิตรถยนต์ การนำเข้า และตลาดรถยนต์ทั้งหมด ซึ่งต่างต้องปรับตัวให้อยู่รอดด้วยการปรับลดราคาขายลงเป็นระลอกคลื่น
จนสถาบันการเงินทุกแห่งปฏิเสธการทำประกันทุกชนิดให้แก่ผู้ซื้อรถยนต์ ไม่ก็ปรับเบี้ยประกันแพงลิบ เพราะไม่รู้ว่า ราคารถยนต์จะมีเสถียรภาพเมื่อใด ไม่ว่าจะเป็นรถสันดาป หรือ รถไฟฟ้า
อีกสาเหตุที่แก้ไม่ได้ก็เพราะ รัฐบาลพยายามขอให้แบงก์ชาติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง แต่แบงก์ชาติก็ยังโยเย โยกโย้โล้สำเภาไปเรื่อยๆ ว่า ไม่ได้มีหน้าที่แก้ปัญหาระยะสั้นบ้าง ยังไม่ถึงเวลาที่จะลดดอกบ้าง หรือยังไม่เห็นว่า ประเทศไทยมีวิกฤตเศรษฐกิจตรงไหน
การโต้เถียงกันในที่ประชุมคณะกรรมการแก้หนี้ จึงเกิดขึ้นอยู่ตลอด และมีปัญหาบานปลายไปในเรื่องต่างๆ รวมถึงการแจกเงิน 10,000 บาทจากดิจิทัล วอลเล็ต ซึ่งแบงก์ชาติไม่เห็นด้วยที่จะให้ทำในวงกว้าง
ที่สุดรัฐบาลใหม่ของนายกฯ แพทองธาร โดย อดีตนายกฯทักษิณ ผู้พ่อ จึงมอบหมายให้กระทรวงการคลังกลับไปคิดใหม่และผลออกมาคือให้แจกเงิน 10,000 บาทเฉพาะคนในกลุ่มเปราะบาง และผู้สูงอายุโดยไม่ยึดหลักเกณท์จากแพลต ฟอร์ม “ทางรัฐ” เข้าไปเกี่ยวข้อง
ส่วนแบงก์ชาติ ก็เพิ่งจะมาตัดสินใจลดดอกเบี้ยลง 0.25% ครั้งแรกในรอบ 4 ปีเมื่อวันที่ 16 ต.ค.67 ด้วยเหตุผลเพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพเศรษฐกิจที่ประเมินไว้ว่า จะขยายตัว 2.7% ในปีนี้ และ 2.9% ในปี 68
แต่ผู้ว่าฯแบงกชาติก็ยังยืนยันว่า ไม่มีความจำเป็นต้องไล่ล่าตัวเลข จีดีพี และศักยภาพเศรษฐกิจไทยเติบโตได้เพียงเท่านี้ คือ ไม่เกิน 3% เพราะโครงสร้างประเทศยังไม่ได้ปรับเปลี่ยน ไม่แน่ใจว่า นี่เป็นเหตุผลให้การประชุมครั้งสุดท้ายของปี 67 ในเดือน ธ.ค. ทำให้แบงก์ชาติคงอัตราดอกเบี้ยเดิมไว้ที่ 2.25% ต่อไป
- การแก้หนี้บนเส้นทางที่ไม่มีแบงก์ชาติ
- ความลับที่กระทรวงการคลังไม่เปิดเผย
ก่อนจะไปถึงการตัดสินใจแก้หนี้ครัวเรือนของรัฐบาลด้วยการหารครึ่งเงินนำส่งที่แบงก์พาณิชย์เพื่อการใช้หนี้ FIDF ในอัตรา 0.46% หรือเท่ากับ 0. 23% ของเงินฝาก
แบงก์ชาติ ได้ออกมาคัดค้านว่า ไม่ควรทำตั้งแต่ยังไม่ทันรับรู้รายละเอียดที่กระทรวงการคลัง โดยปลัดกระทรวง และธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) ตระเตรียมกันมาอย่างดีในโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่งไม่มีแบงก์ชาติอยู่ในส่วนใดของแนวคิด และวิธีนี้เลย ก็เพราะ มัวแต่ค้าน ไง!
อย่างไรก็ตาม เมื่อกระทรวงการคลังมอบหมายให้เป็นแบงก์ชาติ ทำหน้าที่เป็น “หัวหน้าทีม” ในการแก้ไขหนี้ครัวเรือนครั้งนี้ เสียงรบกวนต่างๆก็มีอันจางหายไป
ตัวแทนจากแบงก์ชาติในสายกำกับสถาบันการเงิน ได้รับหน้าที่ให้ผู้ชี้แจง
เสมือนเป็นผู้ร่วมวางแนวคิด และวิธีการนี้เอง
โดยสรุป หนี้ครัวเรือนที่ลูกหนี้จะเข้าร่วมได้ คือ สินเชื่อบ้านไม่เกิน 5 ล้านบาท สินเชื่อรถกระบะ รถยนต์ไม่เกิน 800,000 แสนบาท สินเชื่อเช่าซื้อจักรยานยนต์ ไม่เกิน 50,000 บาท และสินเชื่อ SMEs ไม่เกิน 5 ล้านบาท
ยังมีสินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล ที่หากมีหนี้บ้าน และรถที่เข้าเงื่อน ไขก็ร่วมโครงการนี้ได้ภายใต้ระดับความเสี่ยงที่แบงก์พาณิชย์รับได้ในวงเงินตามเงื่อนไข
โดยต้องเป็นหนี้ที่ทำก่อน 1 ม.ค.67 หรือมีสถานะเป็นหนี้ ณ 31 ต.ค.67 ค้างชำระเกินกว่า 30 วัน แต่ไม่เกิน 365 วัน และได้รับการปรับปรุงหนี้มาแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.65
ลูกหนี้ที่เข้าโครงการ จะได้รับความช่วยเหลือในการพักหนี้ และยกเว้นดอก เบี้ย 3 ปี ตัดหนี้สูญให้โดยลูกหนี้สามารถจ่ายเพื่อปิดจบหนี้ 10% ได้ ความช่วยเหลือนี้ครอบคลุมลูกหนี้ 1.9 ล้านรายยอดหนี้รวม 890,000 ล้านบาท
กระนั้นก็ตาม มูลหนี้ก้อนใหญ่ยักษ์อีกนับล้านๆบาท จะยังต้องหาทางแก้ไขต่อไป โดยแบงก์ชาติ ต้องเข้ามาอยู่บนเส้นทางแก้หนี้นี้อย่างมีความรับผิดชอบด้วย
หวังว่า จะเป็นเช่นนั้น ก็แล้วกัน!!
คุณย่าชาซิ่ง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : เลขาฯ กฤษฎีกา ชี้ ตั้ง “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” นั่ง ปธ.บอร์ดแบงก์ชาติ ยังไม่มีข้อสรุป รอผลประชุมร่วม 3 คณะ พรุ่งนี้