“ผิง” ชญาดา กับ ปมนวดแผนไทย

นวดแผนไทยและตาย
“ผิง”ชญาดา กับ ปมนวดแผนไทย


หลบเรื่องถกเถียงกันเกี่ยวกับมาตรการทางเศรษฐกิจกับการแถลงผลงานที่รัฐบาล จะทำในปีหน้า

หันมาดูปัญหาสังคมเรื่อง “นวดแผนไทย”…ซอฟพาวเวอร์ (Soft Power) ที่ทุกรัฐบาล โดยเฉพาะ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สนับสนุนให้ส่งออกไปขาย ไปโปรโมทให้นักท่องเที่ยวมาใช้บริการกันมากๆตลอดช่วง 10 – 20 ปีที่ผ่านมาสักหน่อย

หลังจากที่มีข่าว “หนูผิง” ชญาดา พร้าวหอม นักร้องรถแห่สาวสวยจาก อ.พิบูลย์รักษ์ จ.อุดร ธานี ที่มีอายุเพียง 20 ปี มีอันต้องเสียชีวิตลง เพราะตัวหนูผิงเขียนในเฟสบุ๊คของเธอเล่าให้ฟังว่า เธอไปนวด แต่ได้กระดูกคอเคลื่อนกลับมาเพราะหมอนวดหักคอเธอ

นวดแผนไทย
5 จุดที่ไม่ควรนวด

คำว่า “หักคอ” เนี่ย ตามภาษาสายนวดคงรู้กันดีว่า มันคือการที่หมอนวดจับหัวกับคอ บิดไปทางซ้าย และขวา ส่วนใหญ่มีเสียงดัง “กร๊อบ” …วิธีการนี้ โดยมาก สายนวดประเภทใช้แรงงานหนักๆมักจะชอบ เพราะเป็นการนวดระดับ 3 ที่เรียกว่า หนักถึงขั้นร้องโอ้ยออกมาจากห้อง

ตามไทม์ไลน์ที่ย่าติดตามดูก่อนที่ หนูผิงเธอจะเสียชีวิตในอีก 3 เดือนถัดมาน่ะ เธอไปนวดที่ร้านนวดในอุดรธานีเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 67 ด้วยอาการเร่ิมต้นปวดคอ บ่า ไหล่ เพราะไปช่วยเพื่อนๆยกของหนักมา และ หมอนวดใช้วิธีหักคอ หรือ บิดคอเธอด้วย 

หลังนวด 2 วันก็มีอาการปวดท้ายทอย จนต้องทานยาแก้ปวด จากนั้นก็กลับไปนวดที่ร้านเดิมกับหมอนวดคนเดิม แต่กลับย่ิงมีอาการปวดมากขึ้น จึงกลับไปร้านนวดร้านเดิมอีก แต่คราวนี้ ได้หมอนวดเป็นคนใหม่

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ อาการปวดไม่ได้หายไป ทำให้ต้องไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ได้รับยาแก้ปวดกลับไปรักษาตัวที่บ้าน

ลืมบอกไปว่า ช่วงแรกๆที่หนูผิงเธอไปนวดแล้วกลับมาบ้าน เธอไม่สามารถจะนอนหงายได้เลย ทำได้ก็แต่นอนคว่ำหน้า เพราะเจ็บมาก

ในวันที่ 30 ตุลาคม ศูนย์โรงพยาบายอุดรธานี ส่งตัวเธอไปที่โรงพยาบาลพิบูลย์รักษ์เพื่อเอ็กซเรย์ จากนั้นก็ส่งตัวต่อไปที่โรงพยาบาลหนองหาน เมื่อดูฟิมล์เอ็กซ เรย์แล้ว ก็พบว่า มีกระดูกคอข้อที่ 4 เคลื่อน

แต่เอาจริงๆนะ ย่าน่ะ มีหมอนรองกระดูกคอข้อที่ 2 ปล้ิน เพราะก้มหน้าทั้งอ่านทั้งเขียนหนังสือเยอะ หมอก็เลยแนะนำว่า ให้ใช้ปลอกคอใส่ไว้บ้างเวลาอ่าน และเขียนจะได้ไม่ก้มหน้ามากเกินไป…แปลว่า ดูภาพเอ็กซเรย์ของหนูผิงแล้ว ถือว่าเคลื่อนน้อย…อ้าว.ไม่เชื่อ ลองถามพวกสูงวัยดูละกัน

กลับมาที่หนูผิงที่น่าสงสารต่อ เธอถูกส่งตัวกลับไปกลับมาระหว่าง โรงพยาบาลพิบูลย์รักษ์ ไป โรงพยาบาลหนองหาน กลับไปโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ตลอดเดือนพฤศจิกายน หลังนอนรักษาตัวทั้งที่บ้าน และที่โรงพยาบาลต่างๆ กระท่ังเกิดอาการแขน ขา อ่อนแรง แต่ไม่พบว่า มีกระดูกต้นคอหัก

ที่สุด คุณหมอที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีจึงปรึกษากันว่า เจาะไขสันหลังดูหน่อยดีกว่า เพราะหนูผิงเร่ิมมีอาการคอแข็ง และก็พบว่า หนูผิง เป็น “ไขสันหลังอัก เสบ” จึงฉีดยา และให้ยากลับไปพักรักษาตัวที่บ้าน

แต่อาการหนูผิง นับวันย่ิงทรุดลงจนญาติต้องนำตัวกลับไปที่โรงพยาบาลศูนย์อุดร ธานีอีกครั้ง เพราะเธอมีอาการเกร็ง และกระตุก กระท่ังหมอต้องนำตัวเธอเข้าห้อง ICU ในวันที่ 22 พฤศจิกายน แต่ต่อมา เธอได้เสียชีวิตลงด้วยอาการติดเชื้อในกระแสโลหิต และจากโลกนี้ไปอย่างสงบในวันที่ 8 ธันวาคม 67 

หลายคน รวมถึงย่า รับรู้ข้อมูลข้างต้นแล้ว รู้สึกเสียใจกับครอบครัวของหนูผิงมาก แต่ย่าจะไม่ตำหนิหมอจากโรงพยาบาลต่างๆเพราะรับทราบกันดีว่า หลายโรงพยาบาลในท้องถิ่นขาดเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย 

ที่สำคัญ หลายๆโรงพยาบาลยังขาดแพทย์ผู้ชำนาญการในเรื่องต่างๆด้วย! 

รัฐบาลถึงพยายามจะทำระบบแพทย์ทางไกลด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่ก็ยังทำไม่สำเร็จ เพราะงบประมาณมีไม่เพียงพอ

ส่วนคุณหมอนวด ซึ่งเวลานี้รู้แล้วว่าชื่อ หมออ้อย น่ะ หลังจากนวดหนูผิง 2 ครั้งแล้ว ก็เข้ากรุงเทพฯมาเฝ้าแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็ง ไม่ได้หนี หรือ ลาออกเพราะนวดบิดคอน้องจนเสียชีวิต 

หมออ้อย บอกว่า หลังจากที่รู้ว่าหนูผิงป่วย และเสียชีวิตเพราะเธอ เธอทั้งตกใจ และเสียใจมาก เธอเป็นหมอนวดที่มีใบอนุญาต และทำอาชีพนี้มากว่า 10 ปีแล้วไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่ต้องตกเป็นจำเลยเช่นนี้มาก่อน 

หมออ้อย บอกกับนักข่าวที่ไปสัมภาษณ์ทั้งน้ำตาว่า ปกติถ้าจะนวดบิดคอ ต้องถามลูกค้าก่อนทุกรายว่าให้ทำหรือไม่ และจริงๆเธอก็ไม่ใช่หมอนวดที่มือหนักด้วย

เช่นเดียวกับที่ร้านนวดริมหนองประจักษ์หลังมีข่าวหนูผิง เจ้าของร้านก็ร่ำไห้ตลอด เวลา เพราะไม่คิดวาจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ในเวลาเดียวกัน ร้านของเธอก็ไม่มีทั้งลูกค้า และหมอนวดมาทำงานจนต้องปิดร้าน พร้อมขอความเป็นธรรมให้กับพวกเธอด้วย 

ย่าว่า ถ้าจะให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนจริงๆ คุณแม่ของหนูผิง ควรตัดสินใจให้มีการชันสูตรศพของหนูผิงก่อนจะฌาปนกิจเธอ 

อย่างน้อยก็จะเป็นบุญเป็นกุศล และอุทาหรณ์ให้เราๆท่านๆผู้ไม่รู้อาการของโรค และไม่อาจสันนิษฐานได้ ได้รับรู้ความจริงที่เราอาจต้องเผชิญในอนาคต

และถ้าไม่ใช่เพราะ “นวดแผนไทย” เป็นเหตุ ผู้คนที่เกี่ยวข้องในธุรกิจนี้จำนวนมากก็จะได้หมดทุกข์ ในขณะที่ นวดแผนไทย ยังคงเป็น ซอฟพาวเวอร์ที่แข็งแกร่งของประเทศไทยต่อไปอีกยาวนาน

คุณย่าขาซิ่ง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : กรมอนามัย ย้ำร้านนวดแผนไทย-สปา ต้อง ปฎิบัติตามมาตรการควบคุมโรคอย่างเข้มข้น