

เลิกเถียงกันเรื่อง เศรษฐกิจไทยวิกฤตหรือไม่ และ ควรลดดอกเบี้ยลงไหม? เพราะ ผู้ว่าฯแบงก์ชาติ แถลงชัดว่า ศักยภาพเศรษฐกิจประเทศไทยโตเต็มที่ได้แค่ 3% บวกลบ กระตุ้นให้ตายก็โตไม่ได้ 4 – 5% ซ้ำร้าย ถ้าปล่อยให้หนี้ครัวเรือนสูงต่อไปเรื่อยๆ เศรษฐกิจอาจจบไม่ดี เหมือน วิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 40
ฟังดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) พูดถึงเศรษฐกิจประเทศไทย ในระหว่างการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ กับ ผู้สื่อข่าวสายแบงก์ชาติ เมื่อวันที่ 4 ก.ค.แล้ว…คนแก่ๆอย่างเรา ช็อค!
มาฟัง อาจารย์วีระ ธีรภัทร ปรมาจารย์ด้านเศรษฐกิจ และ สื่ออาวุโส อีกคนที่บอกว่า สงสารพวกเราจะลำบากตอนแก่ ตอน 40 – 42 (ปี)รอดมาได้ ก็หวุดหวิดแล้ว รอบนี้ไม่รู้ยังไงเหมือนกัน…ก็ยิ่งรู้สึกใจหายกว่าเดิม!!
เพราะไม่อยากเจ็บตัว เจ็บใจ หรือ เห็นใครต่อใครทั้งญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง และผู้เป็นที่เคารพรัก และนับถือ ต้องเจ็บปวดกับเรื่องราวที่ตนไม่ได้เป็นผู้ก่อ แต่ต้องกลายเป็นผู้เสียหายไปกับคนไทยด้วยกันทั้งประเทศในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง

กระเทาะไส้ใน วิกฤตต้มยำกุ้ง
เงินฝากไม่ได้คืน-เงินบาทอ่อนยวบ
ช่วงนั้น เงินฝากของที่บ้านถูกยืดเวลาถอนคืนออกไป 10 ปี เพราะรัฐบาล แบงก์ชาติ และแบงก์พาณิชย์ ผู้สร้างวิบากกรรมให้คนไทย ต่างก็เจอหนี้ท่วมหัว ชนิดที่ไม่มีปัญญาจะใช้คืนโดยพลัน
เพราะหนี้ที่กู้จากต่างประเทศเข้ามา พุ่งกระฉูดขึ้นไปหลายเท่าตัว ด้วยเหตุเพราะมีการประกาศ ลอยตัวค่าเงินบาท ผลทำให้เงินบาทลอยไปตามน้ำ จนลงไปอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 80 บาท ต่อ ดอลลาร์สหรัฐฯ
นอกจากจะมีคนหนุ่มสาวตกงานกันเป็นทิวแถว จากเหตุไฟแนนซ์ถูกสั่งปิดไป 56 แห่ง แบงก์พาณิชย์ และบริษัทหลักทรัพย์ บริษัทเงินทุน รวมทั้งมูลค่าตลาดหุ้น แทบไม่เหลืออะไรให้จับต้องได้แล้ว
เจ้าสัวหลายคน เรียกตัวเองใหม่ว่า “เจ้าสัว yesterday” เพราะหุ้นที่มีอยู่ในแบงก์ ถูกเจ้าหนี้แปลงหนี้เป็นทุนเกือบหมด เหลือไว้ให้เป็นผู้บริหารจริงๆ ก็เพียง 2 – 3% หรือ น้อยกว่านั้น
บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ถูกสั่งปิดจนไม่เหลือ มนุษย์ทองคำ ที่เคยมีเงินเดือนแพงลิ่ว จากการเป็นโบรกเกอร์ซื้อขายหุ้นในตลาด ต้องไปขายปาท่องโก๋ นักเรียนทุนก.พ. และ พ.ก. ถูกเรียกตัวกลับจำนวนมาก ขณะที่นักบิน หมายถึงกัปตันเครื่องบินจริงๆน่ะ ต้องหันไปขับรถแท็กซี่แทน
ส่วนพวกเราที่ทำสื่อ โบนัส 6 เดือน เหลือ 4 เดือน และ 1 เดือน กระทั่งไม่มีโบนัสให้อีก เพราะกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว และธุรกิจต่างๆจะกลับมาทำงานเป็นปกติ ต้องใช้เวลา
ประเทศไทยถอยหลังกรูด
ศักยภาพเศรษฐกิจเหลือแค่ 3%
ทำให้ตายก็ดันไม่ขึ้นถึง 4 – 5%
เอาเรื่องเก่ากลับมาเล่าให้ฟังพอเป็นอุทธาหรณ์ ถ้าจะมีเหตุให้เกิดวิกฤตอีก ก็ต้องขอ พระสยามเทวาธิราช ช่วยคนไทยไม่ให้ต้องกลับไปเจอความเดือดเนื้อร้อนใจเช่นนั้นอีก แค่วิกฤตต้มยำกุ้ง วอลสตรีทพัง สงครามอ่าว และการปฏิวัติที่ต่อเนื่องยาวนานกว่า 15 ปี ก็ทำเอาประเทศไทยถอยหลังจมบาดาลไปนานหลายเท่าทวีคูณ
จนถึงวันนี้ เศรษฐกิจไทย ที่นักการเมืองคาดหวังว่า น่าจะหามาตรการต่างๆ มาช่วยให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ 4 – 5% กลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิดแล้ว
ดร.เศรษฐพุฒิ บอกว่า การคาดการณ์ที่ว่าจะฟื้น ก็ไม่ใช่กลับไปที่ 4 – 5% แต่ฟื้นที่ประมาณ 3% บวกลบ
พูดกันตรงๆ ดร.เศรษฐพุฒิ น่าจะบอกเร็วกว่านี้ ไม่ก็บอกตรงๆไปที่รัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ไม่ต้องมานั่งโต้เถียงกันเรื่องประเทศไทยวิกฤตหรือไม่ และสมควรต้องลดดอกเบี้ยลงไหม?
เพราะถึงตอนนี้ คำว่าวิกฤตน่าจะน้อยไป และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะเศรษฐกิจไทยแย่กว่าที่คิด ดำดิ่งลงลึกกว่าที่ใครคาด แต่ดูเหมือนความเข้าใจในโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศ ระหว่างรัฐบาล กับแบงก์ชาติ ไม่ได้ตรงกันเลย พูดกันไปมาแบบต่างคนต่างพูด จนเข้าตำรา พูดกันคนละเรื่องคนละภาษา…กี่โมงจึงจะเข้าใจกันได้?

ดร.เศรษฐพุฒิ ย้ำด้วยว่า ตัวเลขนี้ไม่ใช่ตัวเลขตายตัว ปรับเปลี่ยนได้ แต่หากต้องการจะให้โตมากกว่านี้ ต้องทำอะไรในเชิงโครงสร้าง ต้องมีการลงทุน มีเทคโนโลยีใหม่ แต่ไม่ได้มาจากการไปกระตุ้นเศรษฐกิจ ถ้าผลิตได้แค่นี้ กระตุ้นให้ตาย ก็จะกลับมาเท่านี้ ถ้าเราอยู่อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ศักยภาพก็เราก็จะประมาณ 3%
ถามว่า อะไรทำให้เศรษฐกิจไทยมีศักยภาพแค่นี้ ผู้ว่าฯแบงก์ชาติของเรา ตอบว่า รายได้ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ ในขณะที่รายจ่าย และค่าครองชีพเพิ่มขึ้นสวนทางกับรายได้
ปัญหาต่อมาคือ ประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้นรวดเร็ว ในขณะที่การเติบโตของแรงงานที่เดิมมีอยู่ 1.2% เหลือแค่ 0.04% แทบจะเป็นศูนย์ ฉนั้น ถ้าคิดง่ายๆคือ แรงงานหายไปเลย 1.2% สิ่งที่เป็นปัญหาอีกก็คือ การผลิตทำได้แค่นี้
การลดลงของ GDP จึงมีเหตุผลหลักๆจากปัญหาข้างต้น ซึ่งคำนวนแล้วได้ศักยภาพเศรษฐกิจประมาณ 2% กว่า ถ้าใช้แบบจำลองของแบงก์ชาติ ก็จะได้ตัวเลขประมาณ 3% บวกลบ อย่างที่บอกไปข้างต้น!
หนี้ครัวเรือน 90.8% เกินเยียวยา
ถ้าปล่อยให้สูงต่อ จะจบไม่ดี เหมือน วิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 40
ทีนี้ถ้าเศรษฐกิจไทยโตได้แค่ 3% ไม่เพียงพอทำให้เกิดการกระจายรายได้สู่รากหญ้า และจะยิ่งทำให้ หนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้นอีก จากที่อยู่ในระดับไม่น่าพอใจที่ 90.8% หรือคิดเป็นมูลค่ารวม 15 ล้านล้านบาท ในไตรมาสแรกปีนี้
ปัญหาคือ หนี้สินครัวเรือนที่สะสมมา 8 ปี แก้ยากกว่าประเทศอื่น ก็ตรงที่หนี้ส่วนใหญ่หรือ 2 ใน 3 เป็นหนี้ที่ไม่มีสินทรัพย์หนุนหลัง หรือ เป็นหนี้จากสินเชื่อส่วนบุคคล โดยเฉพาะหนี้ของเกษตรกร ซึ่งกลายเป็นปัญหาหนัก เพราะกว่า 50% ของเกษตรกร ชำระหนี้ได้เพียงดอกเบี้ย ส่วนหนี้ก้อนใหญ่ก็มีวงเงินสูงถึง 500,000 บาท/ครัวเรือน
“ไม่อยากเห็นหนี้สินครัวเรือน อยู่ในระดับสูงนานๆ โดยเฉพาะในช่วงโควิด หนี้สินครัวเรือนสูงถึง 90% ต่อ GDP สูงกว่าระดับที่ควรมีอยู่ในเสถียรภาพประเทศ โดยเกณฑ์ที่ต่างประเทศใช้ และอยากเห็นคือ 80% ต่อ GDP และ หากหนี้ครัวเรือนยังเติบโตต่อไปเรื่อยๆ…
สุดท้ายก็จะจบไม่ดี เช่นเดียวกับ วิกฤตเศรษฐกิจ ปี 2540 ” ดร.เศรษฐพุฒิ ตบท้าย
โอ้ พระเจ้าจอร์จ ขอยาดมหน่อย!!
คุณย่าขาซิ่ง