แค่เปิดก็เดือดแล้ว “ชัยธวัช” อัดนายกฯไร้วุฒิภาวะ เอื้อทุนใหญ่-ฉ้อฉล

นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร

“ชัยธวัช” ผู้นำฝ่ายค้าน เปิดหัวศึกซักฟอก ไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 อัดยับนายกฯไร้วุฒิภาวะ ขาดภาวะผู้นำ ตั้งครม.แบบเดิมๆประชาชนสิ้นหวัง

  • ชี้หากปล่อยให้รัฐบาลทำงานต่อ จะส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคงประเทศ
  • ลั่นหลายนโยบายแอบอ้างประชาชนบังหน้า เบื้องหลังเนื้อเต็มไปด้วยการฉ้อฉลเชิงนโยบาย
  • ประชาชนได้รับประชาธิปไตยแบบไหลย้อนกลับ ที่ผู้นำทางการเมืองลุแก่อำนาจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (3 เม.ย.67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปัจจุบันที่มีนายเศราฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ตามที่นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และคณะจำนวน 98 คน เป็นผู้เสนอ

ทั้งนี้ ในการประชุมฯ นายชัยธวัช ลุกขึ้นอภิปรายเสนอญัตติว่า หลังการเลือกตั้งประชาชนต่างคาดหวังจะได้ผู้นำประเทศคนใหม่ ที่ต่างไปจากผู้นำหลังการรัฐประหาร แต่เวลาผ่านไปกลับได้นายกรัฐมนตรี ที่ไร้วุฒิภาวะ หลายครั้งมีความสับสนว่ามีอำนาจทำอะไรได้บ้าง ขาดภาวะผู้นำในการสร้างความเชื่อมั่น และความชัดเจนในทิศทางของรัฐบาลซ้ำร้ายยังมีวิธีคิดในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีแบบเดิม ที่จัดสรรตามโควตา แทนที่จะสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมในการเข้ามาบริหารกระทรวงต่างๆ เมื่อประชาชนได้เห็นหน้ารัฐมนตรีหลายคนหลังประกาศจัดตั้งครม. ก็ต้องสิ้นหวัง

จากนั้นเมื่อรัฐบาลชุดนี้บริหารประเทศมากว่าครึ่งปี ประชาชนคาดหวังที่จะได้เห็นนโยบายในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจปากท้องที่ดีขึ้น แต่สิ่งที่ประชาชนพบคือการดำเนินนโยบายที่สับสน คิดไปทำไป นโยบายเรือธงของรัฐบาลขาดยุทธศาสตร์ และแนวทางที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม ตรงเป้าหมาย แทนที่ประชาชนจะได้เห็นการบริหารราชการแผ่นดิน ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ลืมตาอ้าปาก เสมอภาคเท่าเทียม เป็นธรรม กลับเห็นการส่งเสริมระบบเศรษฐกิจที่ผูกขาดหรือเอื้อประโยชน์ต่อทุนใหญ่เต็มไปหมด

“หลายนโยบายแอบอ้างประชาชนบังหน้า แต่เบื้องหลังเนื้อในกลับเต็มไปด้วยการฉ้อฉลเชิงนโยบาย เปิดทางให้รัฐมนตรีและพวกพ้องแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ”

นายชัยธวัช กล่าวด้วยว่า ประชาชนยังคาดหวังจะเห็นการปฏิรูปการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น รัฐบาลชุดใหม่ตอนเริ่มจัดตั้งได้แถลงข่าวด้วยความมั่นใจว่า จะผลักดันให้เกิดการจัดทำประชามติเพื่อให้มีการจัดทำธรรมนูญฉบับใหม่โดยเร็ว วันนี้ผ่านไป 7 เดือน ยังคงวนไปวนมา ประชาชนไม่แน่ใจแล้วว่า ตกลงรัฐบาลจะเอาอย่างไรต่อ จนมีการวิเคราะห์กันว่าแม้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ทันจริงในรัฐบาลสมัยนี้ ก็อาจจะได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะยังคงไม่ไว้วางใจประชาชนเหมือนเดิม

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ตนยังคาดหวังว่า หลังมีรัฐบาลใหม่ จะได้เห็นการฟื้นฟูสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน จะเห็นการคลี่คลายความขัดแย้งทางการเมืองที่สืบเนื่องมาอย่างยาวนาน แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับพบว่า กระบวนการนิติสงครามยังดำเนินต่อไปไม่ต่างจากหลังการรัฐประหาร

นอกจากนี้ประชาชนยังคาดหวังจะเห็นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เห็นการฟื้นฟูนิติธรรมนิติรัฐอย่างที่รัฐบาลแถลงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับเป็นวิกฤตศรัทธาในสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ในวงการตำรวจรวมถึงในระบบราชการยังเต็มไปด้วยระบบตั๋ว ระบบส่วย จนประชาชนไม่สามารถไว้วางใจในกลไกการบริหารราชการแผ่นดิน ความเสมอภาคเท่าเทียมในการบังคับใช้กฎหมาย และความเสมอภาคเท่าเทียมในกระบวนการยุติธรรมถูกเซาะกร่อนบ่อนทำลาย วิกฤตศรัทธาในกระบวนการยุติธรรมยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

“ไม่ต้องพูดว่าถ้าไม่ชอบกันก็ต่างคนต่างอยู่ เพราะพี่น้องประชาชนต้องการอยู่ในระบบเดียวกัน ต้องการอยู่ในประเทศเดียวกัน หนึ่งระบบที่พวกเราได้รับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพเสมอภาคกัน ได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกัน เสมอหน้ากัน ต่อหน้ากฎหมายฉบับเดียวกัน”

นายชัยธวัช กล่าวอภิปรายต่อว่า หลังมีรัฐบาลใหม่ประชาชนคาดหวังจะเห็นระบบการเมืองที่นำพาชาติและประชาชนเดินไปข้างหน้า ไปสู่อนาคตที่ดีกว่า แต่สิ่งที่เราได้กลับกลายเป็น ประชาธิปไตยแบบไหลย้อนกลับ ที่ผู้นำทางการเมืองและผู้มีอิทธิพลทางการเมืองลุแก่อำนาจ ได้คืบจะเอาศอก พยายามผูกขาดอำนาจทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจให้อยู่ในมือของชนชั้นนำไม่กี่กลุ่ม แทนที่จะเห็นการยกระดับทางการเมืองเดินไปข้างหน้าเพื่อสร้างการเมืองแบบใหม่ประชาชนกลับเจอกับการเมืองที่พยายามทำลายสิ่งใหม่เพื่อรักษาสิ่งเก่า

อย่างไรก็ตาม สภาวะทั้งหมดที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนตกอยู่ในสภาพการเมืองที่ไร้ความสามารถในการตอบสนองกับความคิดแบบใหม่ๆ ของประชาชน ไม่สามารถตอบสนองกับความต้องการแบบใหม่ในยุคสมัยใหม่ของประชาชนนี่คือสถานการณ์ที่พวกผม ในฐานะผู้แทนราษฎรจำเป็นที่จะต้องวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ ตั้งคำถาม และเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี