

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ให้ยุบพรรคก้าวไกล เป็นเรื่องที่สังคมไทยคาดการณ์กันล่วงหน้าอยู่แล้ว แม้จะมีความพยายามจากคณาจารย์บางท่าน นำเสนอข้อมูลอีกด้านให้สังคม และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยไปในทางตรงกันข้าม…แต่ท้ายที่สุด ก็ไม่ได้ผล!
เพราะมติที่เห็นว่า พรรคก้าวไกล ประสงค์จะล้มล้าง และมีการกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น เป็นเอกฉันท์ถึง 9 : 0 เสียง
ว่ากันตามจริง หลายคนก็คงรู้สึกเสียดายผู้มีความรู้ความสามารถของพรรคก้าวไกลพอสมควร ด้วยว่า มีคนที่มีจุดมุ่งหมายจะทำให้การเมืองไทยเข้ารูปเข้ารอย อยู่เป็นจำนวนไม่น้อย
ในเวลาเดียวกันคนเหล่านี้ก็ตั้งใจจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาปากท้องให้พ่อแม่พี่น้อง พร้อมๆกับตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล เพื่อป้องกันการทุจริต ประพฤติมิชอบ อย่างที่เคยทำๆ กันมาเป็นชาตินั่นแหละ
แต่เมื่อต้องลงเรือลำเดียวกันกับผู้นำจิตวิญญาณอย่าง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล สองผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกยุบไปก่อนหน้า ด้วยข้อวินิจฉัยเดียวกัน และชูประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญใน ม.112 ให้สถาบันพระมหากษัตริย์ อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เป็นประเด็นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
จึงต้องรับผิดรับชอบไปด้วยกัน ไม่ว่า ผู้นำจิตวิญญาณ จะยืนหยัดยืนยันว่า การขอแก้ไขรัฐธรรมนูญใน ม. 112 เป็นสิ่งที่พวกเขาประสงค์จะปกป้อง สถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง ที่ช่วงชิงเอามาตรานี้มาใช้กดขี่ข่มเหง ผู้คนที่มีความเห็นต่างก็ตาม
และอาจเพราะการกระทำบางอย่างคาบเส้นแบ่งระหว่างความจริง กับความเชื่อส่วนตัวมากเกินไป ความปริแตกทางความคิดของคนไทยในสังคม จึงมีมากขึ้นๆ เช่น การที่ ธนาธร ไปซื้อบ้านของ ปรีดี พนมยงค์ ที่ฝรั่งเศส เพื่อหวังจะสร้างเป็นอนุสรณ์สถานให้คนจดจำในฐานะ “หัวหน้าคณะราษฏร” ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศ จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช เป็น ระบอบประชาธิปไตย
ธนาธร ยังดูจะไม่ได้แคร์เรื่องราวอื่นๆ หรือ คดีที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าอยู่หัวโดยตรง และมองข้ามความจริงอีกด้านที่ร้ายแรง และน่าหดหู่ของสังคมไทยไปด้วย
กำเนิด พรรคประชาชน จะเดินสายทั่วประเทศต่อ
ขณะที่ ปิยบุตร ซึ่งออกมาอภิปรายอย่างเกรี้ยวกราด หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกลว่า เป็นแค่เรื่องสิว สิว ที่พรรคใหม่ (พรรคประชาชน) ก่อกำเนิดขึ้นมาแล้ว และจะใช้เวลาที่ถูกสั่งไม่ให้ลงเลือกตั้ง 10 ปี ไปในการเดินสายทั่วประเทศเหมือนเดิม
แม้จะบอกว่า การถูกยุบพรรค เป็นเรื่องสิวๆ แต่เขาก็ดูจะเจ็บลึกกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก “ที่คาดหวังว่า ยุบพรรคก้าวไกลแล้ว จะทำให้ทั้งพรรค และคนหายไปจากประเทศไทยทั้งหมด เป็นไปไม่ได้” ปิยบุตร กล่าว
แต่สิ่งที่เป็นอันตราย คือ ข้อกล่าวหาว่า พรรคก้าวไกล ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งไม่รู้ว่า นี่คือพัฒนาการทางการเมือง หรือ อ…พัฒนาการทางการเมืองกันแน่
ปิยบุตร ยอมรับว่ามีความในใจอันคับแค้นมาตลอด 2 ทศวรรษ เพราะถูกกล่าวหาว่า เป็นคนที่มีความคิดรุนแรง และสุดโต่ง ในการขอแก้ไข ม. 112 ให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
ขณะที่ตัวเขายืนยันมาตลอดว่า ประเทศไทยต้องมีสถาบันพระมหากษัตริย์ ดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องต่อไปโดยไม่ขาดสายถามกี่ครั้ง ก็ตอบแบบนี้ แต่ฝ่ายตรงกันข้าม ก็ยังวาดภาพให้เขาเป็นปีศาจทุกครั้ง
“ผมถามจริงๆ การจะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องทำกันอย่างไร? ต้องเชิดชูให้สถาบันมีสถานะเป็นกลางทางการเมือง ส่วนนักการเมืองก็ว่ากันไปตามบริบท นี่จึงจะสอดคล้องกับหลักที่เราพูดกันว่า ทรงครองราชย์ แต่ไม่ครองรัฐ ทรงปกเกล้า แต่ไม่ปกครอง…”
แล้วการที่พรรคก้าวไกลเสนอแก้ไข ม.112 เพราะเห็นว่า ถ้ามัวใช้วิธีเดิมๆ กันต่อไป อาจส่งผลกระทบกระเทือนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์…ในหลวง รัชกาลที่ 9 ในพระบรมโกศ ก็ทรงเคยมีพระราชดำรัสไว้เหมือนกันว่า การใช้ ม.112 กระทบกระเทือนสถาบันพระมหากษัตริย์
ดั่งนี้แล้ว พรรคก้าวไกล ซึ่งอาสาเข้ามาแก้ไขให้ ล้มล้างการปกครองตรงไหน?!
สถาบันพระมหากษัตริย์ อยู่คู่ ความชอบธรรมในโลกสมัยใหม่
ปิยบุตร กล่าวคำปราศรัยของเขาต่อไปว่า แม้เขาจะถูกกล่าวหามาตลอด แต่เขายังยืนยันว่า ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ มีแรงกาย แรงใจ และแรงสมอง
แม้จะถูกตัดสิทธิทางการเมือง แต่เขาก็จะใช้ความพยายามทุกวิถีทาง ในการรักษาสิ่งสำคัญของบ้านเมืองทั้ง 2 นี้ ไปพร้อมๆกัน คือ
1.สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีความชอบธรรมทางจารีตประเพณี ตามประวัติศาสตร์ชาติไทย กับ 2.ความชอบธรรมแบบโลกสมัยใหม่ นั่นคือ หลักการประชาธิปไตย หลักการคุ้มครองสิทธิ และเสรีภาพของประชาชน
“ชื่อระบอบการปกครองก็บอกอยู่แล้วว่า คือ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยเฉยๆ และไม่ใช่ระบอบกษัตริย์เฉยๆ แต่ต้องมีทั้งสองสิ่งนี้อยู่ด้วยกัน
ณ วันนี้เรากำลังอยู่บนเส้นทางของการแตกแยกทางความคิด ในหมู่พี่น้องประชาชน เมื่อมีคำวินิจฉัยแบบนี้เกิดขึ้นมาอีก มันจะยิ่งส่งผลให้ประชาชนเกิดอาการร้อง …เอ๊ะ ขึ้นมาเรื่อยๆ”
แล้วเราจะจัดการปัญหาเรื่องนี้อย่างไร? เมื่อมีการใช้อำนาจรัฐปราบปรามคนเห็นต่าง ใช้อำนาจรัฐยุบพรรค ตัดสิทธิใช้อำนาจรัฐกดต่ำลงไป ไม่ให้พูด แต่คนยังคิด จะให้ทำอย่างไร? ปิยบุตร ตอกย้ำ
คนล้มล้างจริงกลับนั่งหน้าสลอน เป็นผู้มีอำนาจในบ้านเมืองกันหมด
“ไอ้คนที่อยู่ดีๆ เอารถถังออกมาแล้วยึดอำนาจ แล้วแอ่นแอนแอ๊น นั่งโต๊ะแถลงบอกว่า ยึดอำนาจเอาไว้หมดแล้ว ฉีกรัฐธรรมนูญ เอาปากกาตัวเองเขียน แล้วบอกนี่เป็นกฏหมาย ไอ้คนแบบนี้ต่างหาก ที่มันล้มล้างการปกครอง…แต่วันนี้ก็นั่งหน้าสลอน เป็นผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้กันหมด…
มันเลยกลายเป็นเรื่องกลับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิง ไอ้คนต้องการรักษาระบอบ ไอ้คนต้องการปกป้องสถาบันกษัตริย์ ไอ้คนต้องการปกป้องประชาธิปไตย ดันกลายเป็นคนล้มล้างการปกครอง
ไอ้คนที่ใช้อาวุธ ใช้ความรุนแรง ออกมาจัดการผู้คน ยึดอำนาจรัฐบาลจากการเลือกตั้ง เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ด้วยตัวเอง แล้วก็สืบทอดอำนาจเป็นนายกฯ ต่อ… ไอ้คนแบบนี้กลายเป็นคนไม่ล้มล้างการปกครอง กลายเป็นคนรักษาระบบการปกครอง…แล้วตกลงความจริง มันคืออะไร?”
สำหรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จะเขียนออกมาตามกฏหมายที่มีอยู่อย่างไร มันก็ขึ้นอยู่กับว่า เราเชื่อตามนั้นหรือไม่
ระบุ จะเป็นรัฐบาลได้ ต้องมีใบอนุญาต 2 ใบ
ปิยบุตร ตบท้ายการปราศรัยของเขาด้วยการบอกกับบรรดาผู้ฟังว่า หลังๆ มานี้ เขาสงสัยว่า พรรคที่ได้ฉันทานุมัติ หรือใบอนุญาตจากประชาชนมา 14.4 ล้านเสียง ได้ สส. มา 151 คน กลับไม่ได้ใบอนุญาตให้เป็นรัฐบาล
เพราะชนชั้นนำทางเศรษฐกิจ ชนชั้นนำทางการเมือง และชนชั้นนำจารีตประเพณี จับมือกันสกัดกั้น ไม่ให้พรรคก้าวไกลมีโอกาสเข้าไปบริหารประเทศ…
นั่นหมายความว่า การจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศ ครองอำนาจรัฐ มาทำให้ชีวิตพ่อแม่พี่น้องอยู่ดีกินดี สมกับคำกล่าวที่ว่า การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคตได้นั้น จะต้องมีใบอนุญาตที่ 2 ด้วย
แปลว่า ใบอนุญาตที่ 1 อาจจำเป็นน้อยกว่าใบอนุญาตที่ 2 หนทางเดียวที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ ต้องได้ฉันทานุมัติจากประชาชนอย่างถล่มทลาย ย้ำอย่างถล่มทลาย จนใบอนุญาตที่ 2 ต้องออกมา
ที่เขียนมาให้อ่านตั้งแต่ต้นจนจบใน EP นี้ ก็เพื่อให้ทุกท่านได้ คิด วิเคราะห์ และแยกแยะ ระหว่างความจริง กับ ความเชื่อ ซึ่งมักจะอยู่ตรงกันข้ามตลอดว่า จะเลือกอะไร
แต่ต้องไม่ลืมนะว่า ความจริง มีเพียงหนึ่งเดียว!
คุณย่าขาซิ่ง