ญี่ปุ่น ผลิต “อาหาร” สู้ภัยพิบัติ .ข้าวต้ม-แกงกะหรี่ อยู่ได้นาน 25 ปี .ยาวนานกว่า “ข้าวสาร 10 ปี” ของเพื่อไทย



รัฐบาลญี่ปุ่น ร่วมกับภาคเอกชน ยอมรับโชคชะตาฟ้าลิขิตผลิต “อาหาร” สู้ “อภิมหาแผ่นดินไหว” ข้าวต้ม – แกงกะหรี่หมดอายุอีก 25 ปีข้างหน้า นานกว่าข้าวสาร 10 ปี ของพรรคเพื่อไทย

เห็นมหาอุทกภัยที่เกิดขึ้น ในจังหวัดเชียงราย และแม่สาย ซึ่งยังไม่แน่ว่า จะเลยเถิดไปถึงจังหวัดใดอีกตลอดลุ่มแม่น้ำโขงแล้ว

รัฐบาลของ นายกฯแพทองธาร ชินวัตรซึ่งอยากจะภาวนาให้อยู่ยาวไป 3 ปี จำเป็นต้องเร่งปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ของระบบการป้องกันน้ำท่วม และน้ำแล้ง เพื่อวางรากฐานแก่ประเทศไทยอย่างจริงจังเสียที หลังจากที่โต้เถียงกันมายาวนานกับกลุ่ม NGO

ประเทศไทยต้องมีเขื่อน ระบบชลประทาน และ ระบบบริหารจัดการน้ำแห่งชาติจริงๆ เสียที เพื่อป้องกันพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกร โดยเฉพาะในวันที่พืชผลทางการเกษตร กำลังมีราคาดี

ขณะเดียวกัน ก็ต้องปกป้องมรดก และโบราณสถานของประเทศไทย อันเป็นสถานที่เพื่อสักการะบูชาทั้งของคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวที่หลงใหลมรดกทางวัฒนธรรม ของประเทศไทย

ย่า เพิ่งกลับจากดูงานโรงงานกำจัดขยะของเทศบาลเมืองโตเกียว มีโอกาสได้เห็นประสิทธิ ภาพ ของการกำจัดขยะ ที่ปลอดมลภาวะเป็นพิษกลางเมือง

แถมยังได้อานิสงส์จากการเผาขยะเป็นพลังงานไฟฟ้า รวมถึงพลังงานสะอาด อย่างไฮโดรเจนและน้ำ อันเป็นผลพลอยได้ที่สามารถนำมาเลี้ยงเมือง ให้มีสภาพแวดล้อมที่ดี สะอาด เต็มไปด้วยความสวยงามของต้นไม้ และดอกไม้นานาพันธ์ุ นับเป็นเรื่องดีต่อใจอย่างมาก

ย่ายังได้รับรู้เรื่องราว การบริหารจัดการกับมหันตภัยต่างๆ อย่างเรื่องของแผ่นดินไหว และการป้องกันคลื่นยักษ์สึนามิ ที่ตามมาหลังเกิดแผ่นดินไหวด้วย

หลายคนคงจำได้ว่า ปี 2554 เกิดแผ่นดินไหวขนาดความรุนแรง 9-10 แมกนิจูด ทำให้เปลือกโลกมุดลงไป ในดินใต้ทะเลลึก 10 เมตรจนเกิดเป็น “สึนามิ” ขนาดมหึมา ถล่มเมืองเชนได และทำให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ เกิดการระเบิด มีผลให้รัฐบาลต้องสั่งปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์กว่า 50 แห่ง ในญี่ปุ่นเกือบทั้งหมด

เวลาผ่านไปเพียง 13 ปี ญี่ปุ่นได้สร้างกำแพงป้องกันคลื่นยักษ์สึนามิที่มีความหนา และแข็งแกร่ง สูงถึง 22 เมตร เพื่อปกป้องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฮามะโอกะ ที่ชิซุโอกะ ไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ เสร็จสิ้นไปเป็นที่เรียบร้อย

กำแพงยักษ์แห่งนี้ สามารถรองรับแผ่นดินไหวได้ถึงระดับ 9 แมกนิจูด และมีความยาวเป็นระยะทางกว่า 600 กิโลเมตร ขนานไปกับชายฝั่ง

แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า ทำลายระบบนิเวศ ทัศนียภาพ และเป็นอุปสรรคต่อการทำประมงของชาวญี่ปุ่น ถึงขนาดมีนักวิจารณ์เรียกขานกำแพงนี้ว่า “ความชั่วร้ายที่จำเป็น”

แต่ด้วยจิตวิญญาณ ที่มีมาแต่บรรพชนจนเป็นจารีตของชนชาวญี่ปุ่น ที่ว่าถ้ามันเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะปกป้องชีวิต และทรัพย์สินคนญี่ปุ่น จากภัยพิบัติได้ พวกเขาก็ยอม!

นอกจากเมืองท่าโอซาเบะแล้ว เมืองริมทะเลทั้งหลายต่างก็สร้างกำแพง เพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง และสึนามิกันในหลายเมือง โดยกำแพงกั้นสึนามิ มีความสูงต่ำเฉลี่ยกันไป ตั้งแต่ 7.2 ถึง 12.5 เมตร เป็นระยะทางยาวกว่า 5 กิโลเมตร

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่สำนักงานอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่น ออกประกาศเตือนว่า เขาพบความเป็นไปได้สูงที่จะเกิด “อภิมหาแผ่นดินไหว” (Megaquake)บริเวณร่องลึก หรือ แอ่งนันไคของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งปกติจะเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ๆ ขึ้นทุกๆ 100 – 200 ปี

ตอกย้ำด้วยถ้อยแถลงที่ยังมีความเป็นไปได้ว่า จะเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ระดับ 8 แมกนิจูดขึ้นไปในช่วงระหว่างนี้ต่อเนื่องไปในอีก 30 ปีข้างหน้า โดยจะเกิดขึ้น ณ บริเวณแผ่นเปลือกโลกที่อยู่ระหว่างอ่าวซูรูงะ ในจังหวัดชิซุโอกะ กับทะเลเฮียวกะนาดะ ในเกาะคิวชู

หลังจากเพิ่งเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงระดับ 7.1 แมกนิจูด นอกชายฝั่งมิยาซากิ ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น เมื่อช่วงต้นเดือนส.ค. มาหมาดๆ

ข่าวอภิมหาแผ่นดินไหวที่จะเกิดขึ้น จากนี้ไปในอีก 30 ปีข้างหน้า สร้างสภาวะที่เรียกว่าปลงตกให้แก่รัฐบาล และชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก โดยเฉพาะบรรดาผู้สูงวัย ซึ่งยอมจำนนว่า “อะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด”ตรงกับเพลง และสำนวนฝรั่งที่มักพูดกันบ่อยๆว่าWhatever will be,will be …

เพราะไม่รู้จะห้ามฟ้าฝนไม่ให้ตกลงมา หรือห้ามไม่ให้เกิดแผ่นดินไหวได้อย่างไร ยิ่งถ้าจะนัดมาเจอกันตรงวงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire) ที่มี 3 เส้นมาบรรจบกัน ใต้ผืนพิภพของญี่ปุ่น ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีก เพราะแค่แผ่นดินไหวเล็กๆน้อยๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศ ก็มีมากถึง 6,000 ครั้งอยู่แล้ว

ชาวญี่ปุ่นซึ่งประสบเคราะห์กรรมมาด้วยกัน จากการถูกทิ้งระเบิดปรมาณู 2 ลูก ที่เมืองฮิโรชิมา และนางาซากิ ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ดูจะยอมรับกับชะตากรรมนี้ โดยไม่ทำให้พวกเขาตื่นตระหนก ย้ายที่อยู่ใหม่ หรือขอไปอยู่อาศัยในประเทศอื่น (แม้ว่าย่าอยากชวนพวกเขา มาอยู่ที่ประเทศไทยเราเยอะๆ ก็ตาม)

ความพยายามจะมีชีวิตอยู่ให้ได้ในสภาพที่ต้องเจอกับมหาภัยพิบัติ ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่น และภาคเอกชนที่ทำธุรกิจด้านอาหาร ค้นคว้าวิจัยจนได้อาหารสำหรับอยู่กับภัยพิบัติข้างหน้าให้ได้ ด้วยการออกผลิตภัณฑ์อาหารที่เก็บได้เป็นเวลานานหลายปี

เช่น ข้าวแกงกะหรี่ไก่ ผลิตออกมาให้ชาวญี่ปุ่นเก็บไว้ได้นานถึง 25 ปี ข้าวต้ม 25 ปี นานกว่าข้าวไทยอายุ 10 ปีของ “พี่อ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กห.จากพรรคเพื่อไทย 2 เท่า

นอกจากนี้ ยังอีกหลายผลิตภัณฑ์อาหาร ที่ผู้บริโภคสามารถเก็บไว้ได้ ในระยะเวลานานๆ ระหว่างรอความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัยตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป เช่น ขนมปัง ไอศครีม อูด้ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และของใช้ที่จำเป็นต่างๆ เช่น สบู่ แป้งแพมเพิร์ด ยาสีฟัน เป็นต้น

สินค้าประเภทอุปโภค-บริโภคเหล่านี้ จะได้รับการผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ชาวญี่ปุ่นใช้ชีวิตอยู่ใต้มหาภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้ และเบาใจว่า รัฐบาลจะไม่ทอดทิ้งพวกเขาให้อยู่โดยลำพัง

เขียนจบ น้ำใสๆ ก็ไหลออกจากตา เพราะเป็นคนไทย คงไม่มีใครมาดูแลพวกเรา ชัวร์!!

คุณย่าขาซิ่ง