“เศรษฐา” จุดไฟฝัน…ดันไทยสู่ศูนย์กลางการบินภูมิภาค

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงวิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND, AVIATION HUB” เพื่อประกาศถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค

นายกฯ เศรษฐา ประกาศชัดจัดเต็มผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค ตั้งเป้าสนามบินสุวรรณภูมิติดอันดับ 1 ใน 20 ของโลกภายใน 5 ปี รองรับผู้โดยสารได้ 150 ล้านคนต่อปี

  • หวังให้เป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าทางอากาศที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค
  • ลุยแก้ไขขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง ให้มีความคล่องตัว รวดเร็ว ลั่น 6 เดือนได้เห็น
  • เผยแผนเปลี่ยนสนามบินดอนเมือง เป็นสนามบินแบบ POINT-TO-POINT ชูจุดเด่นบริการเข้าออกได้เร็วขึ้น
  • พร้อมขยายพื้นที่ รองรับผู้โดยสารจากเดิม 30 ล้านคน ขยับเป็น 50 ล้านคนต่อปี ภายในปี 73

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (1 มี.ค.67) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ได้แถลงวิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND, AVIATION HUB” เพื่อประกาศถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม คณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคม และสื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟังด้วย

นายเศรษฐา กล่าวว่า รัฐบาลเชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพ มีความพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนต้องช่วยกันดึงศักยภาพออกมาให้ทั่วโลกได้รับรู้ ทั้งนี้ ก่อนจะดำเนินการทำอะไร ทุกคนต้องยอมรับก่อนว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีปัญหาอะไร ซึ่งถ้าไม่ยอมรับปัญหา ก็ไม่สามารถหาทางออกให้กับประเทศได้

“ขอยืนยันว่า คำที่พูดไปไม่ได้ต้องการพูดทำให้ใครรู้สึกไม่ดี แต่วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ต้องพูดคุยความจริงต่อหน้าสาธารณะ”

นายเศรษฐา กล่าวด้วยว่า ก่อนหน้านี้ในปี 2548 สนามบินสุวรรณภูมิเคยอยู่ในอันดับที่ 13 ของโลก แต่ในปัจจุบันตกมาอยู่ในอันดับที่ 68 ของโลก โดยรัฐบาลจึงมีแผนจะพัฒนาท่าอากาศยานของไทยให้กลับมาติดอันดับ 1 ใน 20 สนามบินที่ดีที่สุดในโลกภายใน 5 ปี

ทั้งนี้ เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่ในจุดภูมิศาสตร์กึ่งกลางของเอเชียแปซิฟิก มีพรมแดนติดกับ 3 ประเทศเพื่อนบ้าน อีกทั้งยังได้รับสิทธิประโยชน์จากการเปิดบินเสรีการบินอาเซียน โดยการประกาศวิสัยทัศน์ในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ซึ่งกำกับดูแลท่าอากาศยานในความรับผิดชอบ 6 แห่งประกอบด้วย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่

ทั้งนี้ สำหรับแผนการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายเศรษฐา กล่าวว่า สนามบินสุวรรณภูมิมีพื้นที่กว่า 20,000 ไร่ ซึ่งรัฐบาลมีแผนจะขยายขีดความสามารถให้รองรับผู้โดยสารได้ 150 ล้านคนต่อปี ภายในปี 2573 ซึ่งขณะนี้ทางAOT ได้เปิดใช้อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 หรือ SAT-1 สามารถรองรับผู้โดยสารจาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น60 ล้านคนต่อปีภายในระยะเวลา 6 เดือน

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงวิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND, AVIATION HUB” เพื่อประกาศถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค

รวมถึงในปี 2567 นี้ ก็มีแผนเตรียมเปิดใช้ทางวิ่งเส้นที่ 3 (รันเวย์) จะต้องทำให้เสร็จภายในเดือน ต.ค. 2567 ซึ่งหากแล้วเสร็จจะสามารถรองรับเที่ยวบินจาก 68 เที่ยวต่อชั่วโมง เป็น 94 เที่ยวต่อชั่วโมง และมีแผนจะก่อสร้างขยายอาคารผู้โดยสารทางทิศตะวันออก – ทิศตะวันตก ให้สามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอีก 30 ล้านคนต่อปี

อีกทั้งยังมีแผนจะก่อสร้างอาคารผู้โดยสารทางทิศใต้ ให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นอีก 60 ล้านคนต่อปี รวมถึงมีแผนจะก่อสร้างรันเวย์ที่ 4 เพื่อรองรับเที่ยวบินให้ได้เพิ่มเป็น 120 เที่ยวบินต่อชั่วโมงอีกด้วย

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงวิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND, AVIATION HUB” เพื่อประกาศถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค

นอกจากนี้ นายเศรษฐา ยังกล่าวถึงขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองว่า จะต้องปรับปรุงให้มีความคล่องตัว รวดเร็วมากกว่าเดิม และจะต้องแก้ไขปัญหาให้ได้ภายใน 6 เดือน รวมถึงการเปิดเช็คอิน โหลดสัมภาระแบบอัตโนมัติ โดยให้เพิ่มการเปิดเช็คอิน และโหลดสัมภาระก่อนเครื่องบินจะขึ้น 6 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มความสะดวกให้ผู้โดยสารมีเวลาไปเดินช้อปปิ้งได้โดยไม่ต้องกังวล

ทั้งนี้ จะมีการเพิ่มเจ้าหน้าที่ให้บริการภาคพื้นดินมากขึ้น โดยมีการคัดเลือกบริษัทที่มีศักยภาพมาทำ มีตัวชี้วัดการทำงานอย่างชัดเจน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ รวมถึงลดระดับบริษัทที่ให้บริการไม่ดี ซึ่งมั่นใจว่า6 เดือนจากนี้ ผู้โดยสารจะได้รับการให้บริการที่รวดเร็ว สะดวกมากขึ้น รวมไปถึงขั้นตอนการถ่ายสินค้าต้องเชื่อมโยงรวดเร็ว สะดวกขึ้น เชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น โดยสิ่งสำคัญที่ผู้โดยสาร ต้องได้รับตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาสู่ประเทศไทย คือต้องรู้สึกถึงความประทับใจในการให้บริการของสนามบิน

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ในส่วนของท่าอากาศยานดอนเมือง ก็ถือเป็นสนามบินหลักสำหรับเที่ยวบินภายในประเทศและเที่ยวบินระหว่างประเทศในภูมิภาค โดยรัฐบาลมีแผนจะเปลี่ยนสนามบินดอนเมืองให้เป็นสนามบินแบบ POINT-TO-POINT มีจุดเด่นในเรื่องให้บริการเข้าออกได้เร็วขึ้น ขยายขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารจากเดิม 30 ล้านคน ขยับพุ่งเป็น 50 ล้านคนต่อปีภายในปี 2573 ผ่านการปรับปรุงอาคารผู้โดยสารเดิม และขยายอาคาร 1 และอาคาร 2 เป็นอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ รองรับผู้โดยสารได้ 27 ล้านคนต่อปี

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงวิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND, AVIATION HUB” เพื่อประกาศถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค

รวมถึงมีแผนจะสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศใหม่ เพื่อรองรับผู้โดยสารได้ 23 ล้านคนต่อปี อีกทั้งยังมีแผนจะก่อสร้างอาคาร Junction Building เป็นที่พื้นเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ เพื่อเป็นแหล่งจัดแสดงสินค้าโอทอป และจำหน่ายสินค้าโอทอป และพัฒนาให้เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยว มีแผนเพิ่มพื้นที่จอดรถได้มากถึง 7,600 คัน และเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนทางรางรถไฟฟ้าสายสีแดงให้เดินทางเข้าออกเมืองได้สะดวกยิ่งขึ้น รวมถึงจะพัฒนาศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) ร่วมกับเอกชน

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแผนจะสร้างสนามบินภูเก็ตแห่งที่ 2 หรือท่าอากาศยานอันดามัน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนภูเก็ต พังงา กระบี่ รวมถึงจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งหากแล้วเสร็จ จะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 40 ล้านคน สามารถเป็นฮับการบินภาคใต้ เชื่อมเส้นทางระยะไกล ทั้งเที่ยวบินตรงระหว่างประเทศแบบ Point to Point รวมถึงมีแผนพัฒนาสะพานสารสิน เพื่อรองรับจำนวนรถให้ได้มากขึ้น รวมถึงให้เรือขนาดใหญ่สามารถแล่นผ่านได้

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงวิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND, AVIATION HUB” เพื่อประกาศถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค

ทั้งนี้ สำหรับท่าอากาศยานภูเก็ต รัฐบาลจะพัฒนาส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ และก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบิน รองรับผู้โดยสารจากเดิม 12.5 ล้านคนต่อปี เป็น 18 ล้านคนต่อปี ภายในปี 2573 และกำลังอยู่ในช่วงศึกษาโครงการพัฒนา Seaplane & Ferry Terminal พัฒนาพื้นที่อากาศยานขึ้น-ลงในทะเล เพื่อรองรับผู้โดยสารชั้นสูง เชื่อมต่อไปยังเกาะสมุย เกาะช้าง และหัวหิน เป็นต้น

นายเศรษฐา กล่าวว่า ในส่วนของท่าอากาศยานเชียงใหม่ ก็มีแผนผุดสนามบินล้านนา เพื่อรองรับประชาชนจังหวัดใกล้เคียงเชียงใหม่ ซึ่งรัฐบาลมีแผนจะก่อสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ และปรับปรุงอาคารผู้โดยสารเดิม ที่รองรับนักท่องเที่ยวจากเดิมได้ 8 ล้านคนต่อปี เป็น 16.5 ล้านคนต่อปี ภายในปี 2572 รวมทั้งยังมีแผนจะก่อสร้างสนามบินเชียงใหม่แห่งที่ 2 หรือท่าอากาศยานล้านนา ให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นอีก 20 ล้านคนต่อปี และจะเป็น Homebase ของสายการบิน อย่าง Thai VietJet เป็นต้น

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงวิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND, AVIATION HUB” เพื่อประกาศถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค

ทั้งนี้ ตั้งแต่มีการปลดล็อกให้มีการบินขึ้นลงได้หลังเที่ยงคืน มีนักท่องเที่ยวเดินทางเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศญี่ปุ่น และเกาหลี นอกจากนี้ สนามบินเมืองรองต้องพัฒนาควบคู่ไปด้วยเพื่อรองรับเมืองหลัก เพื่อผลักดันให้เมืองรองกลางเป็นเมืองหลักให้ได้ รวมทั้งการใช้สนามบินร่วมกับกองทัพ ซึ่งปัจจุบันต้องบริหารด้านความมั่นคง ควบคู่ไปกับความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจด้วย

“จากนี้รัฐบาลจะยกระดับสนามบินทั่วประเทศ โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกี่ยวกับระบบบริการผู้โดยสาร เข้ามาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการให้มีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็วมากขึ้น พร้อมทั้งจะพัฒนาครัวไทยสู่การเป็นครัวของโลก ผ่านการผลิตอาหารให้กับสายการบินต่างๆ ขึ้นไปเสิร์ฟบนเครื่อง ส่งเสริมการใช้ผลผลิตทางการเกษตรของไทย นำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตอาหาร ไปจนถึงต่อยอดเมนูอาหารไทยที่เป็นเอกลักษณ์สู่อาหารบนเครื่องบินที่ดีที่สุดในโลก”

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงวิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND, AVIATION HUB” เพื่อประกาศถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแผนขยายอุตสาหกรรมการบำรุงรักษาเครื่องบิน ให้กลายเป็นศูนย์กลางการบำรุงรักษาทั้งเครื่องบินพาณิชย์และเครื่องบินส่วนตัว มีระบบคลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิเพื่อกระจายสู่ประชากรกว่า 280 ล้านคนทั้งในประเทศไทย มาเลเซีย สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม

นายเศรษฐา กล่าวด้วยว่า ในการนี้รัฐบาลก็มีแผนจะพัฒนาสายการบินไทย ที่เป็นสายการบินของชาติ โดยปรับปรุงเส้นทางตารางการบินให้เหมาะสม จำนวนและประเภทเครื่องบิน บัตรโดยสารและการบริการ ตลอดจนส่งเสริมบุคลากรให้เพียงพอพร้อมให้บริการ ไปพร้อม ๆ กับสร้างความยั่งยืนผ่านการดึงดูดสายการบินด้วยเชื้อเพลิง SAF และส่งเสริมการผลิตในประเทศ สนับสนุนบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงวิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND, AVIATION HUB” เพื่อประกาศถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค

“เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการบินของไทยจากนี้ คือไทยต้องยกระดับสนามบินสุวรรณภูมิให้ติดอันดับ 1 ใน 50 ของสนามบินที่ดีที่สุดในโลก ภายในระยะเวลา 1 ปี และติดอันดับ 1 ใน 20 ของโลก ภายในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นความฝันที่ตนต้องการให้เป็นจริง วันนี้ขอประกาศว่า ไทยเราตื่นจากความฝันแล้ว ขอให้ทุกคนตื่นมาร่วมกันพัฒนาให้ความฝันเป็นจริง โดยทุกคนมีส่วนร่วมทำฝันให้เป็นจริงได้”

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงวิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND, AVIATION HUB” เพื่อประกาศถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค