

มีข้อสงสัยกันมากว่า เมื่อเทคโนโลยีล้ำยุคก้าวเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์เพิ่มขึ้น กระดาษซึ่งถูกใช้เป็นปฐมบทของการเขียน อ่าน อันนำไปสู่การเรียนรู้ จะหมดประโยชน์ เพราะผู้คนเลิกใช้ หันไปพึ่งพาคอมพิวเตอร์ แล็ปท็อป และสมาร์ทโฟนกันจนหมดหรือไม่?
คำตอบอยู่ที่กลุ่มผู้ผลิตกระดาษรายใหญ่ที่ชื่อ บริษัท ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีคุณโยธิน ดำเนินชาญวณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเป็นเจ้าของร่วมกับธุรกิจในเครือตั้งแต่สวนอุตสาหกรรม ไปจนถึงโรงไฟฟ้าชีวมวล

คุณโย มอบหมายให้ คุณเสรี จินตนเสรี นักกฏหมายใหญ่ของประเทศ ในฐานะกรรมการบริหารบริษัท และประธานกลุ่ม คสร.ตอบปัญหานี้แทน
“ก่อนไวรัสโควิด แพร่ระบาดเข้ามา พวกเราก็เริ่มรับรู้แล้วว่า ผู้คนหันไปใช้คอมพิวเตอร์สำหรับเก็บ และส่งผ่านข้อมูลถึงกันแทนที่กระดาษมากขึ้น แต่ก็ยังมั่นใจว่า เวลายังเยาว์ กระดาษยังคงต้องใช้ในงานราชการ และธุรกิจต่อไปอีกนาน”
กระทั่งโควิดระบาดไปทั่วโลก การเดินทางของผู้คนถูกปิดกั้น และ ทำให้เกิดช่วงเวลาแห่งความสูญเสียอย่างหนักตลอด 3 ปีติดต่อกัน อัตราการเร่งของการลดการใช้กระดาษ จึงมาก่อนกาลถึง 20 ปี
ช่วงเวลานั้น กระดาษที่เคยผลิตมาเพื่อใช้สำหรับงานโฆษณา งานซีร็อกซ์ หรือ ปรินท์ข้อมูลจากห้องสมุด และนิตยสาร ได้รับผลกระทบ เพราะคนหันไปใช้คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และออนไลน์ แทน
ห้องสมุดถูกปิด โรงเรียน มหาวิทยาลัย บริษัทห้างร้าน และหน่วยงานราชการ ถูกสั่งปิด และนิตยสารที่เคยเป็นลูกค้าที่ดีต่อกันตัดสินใจปิดตัว

สิ่งที่เราทำได้ในเวลานั้นคือ การปรับตัว เปลี่ยนวิธีคิด แนวทางการตลาด และวางแผนการผลิตกระดาษให้รองรับกับตลาดได้ในหลายระดับตั้งแต่ที่มีคุณภาพสูงสุด จนถึงคุณภาพรองลงมา การปรับตัวนี้ทำให้ดั๊บเบิ้ล เอ อยู่รอดมาได้อย่างแข็งแกร่งจนถึงวันนี้
วิกฤตโควิดทำให้สินค้าของบริษัทเป็นที่ชัดเจนมากขึ้น จากนี้ไป ดั๊บเบิ้ล เอ จะเป็นกระดาษที่ไม่ใช่กระดาษที่ใช้กันอย่างทิ้งๆขว้างๆเหมือนอดีตอีกต่อไป แต่จะเป็นกระดาษคุณภาพสูงสำหรับใช้งานสำคัญๆในระบบราชการ ระบบกฏหมายของประเทศ ในรัฐสภาซึ่งมีการตรากฏหมายออกมาใหม่ๆตลอด ในคำตัดสินของศาล และในงานของภาคธุรกิจ รวมถึงเอกสารที่จำเป็นต้องเก็บรักษา
“ดั๊บเบิ้ล เอ ปรับตัวได้รวดเร็วตั้งแต่การผลิตกระดาษให้มีคุณภาพที่ดีที่สุดในโลก และมีแบรนด์ที่รองรับความต้องการของตลาดทั่วโลกอย่างหลากหลาย“เราขยายตลาดได้มากขึ้นทั้งในจีน อินเดีย เกาหลี เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออก กลาง และแอฟริกา”
ขณะที่ทำการตลาดในแบบที่พึ่งพาอาศัยกันและกันมากขึ้น เช่นกับจีน และเกาหลีดั๊บเบิ้ล เอ เข้าไปจ้างให้เขาผลิต และหาตลาดภายในให้ บางประเทศอย่างออสเตรเลียซึ่งโรงงานผลิตกระดาษขนาดใหญ่มีอันต้องปิดไป บริษัทจึงเข้าไปซื้อ และใช้ชื่อแบรนด์เก่าขายในประเทศออสเตรเลีย โดยมีส่วนแบ่งการตลาดถึง 50%

ด้วยกลยุทธ์เช่นนี้ ทำให้บริษัทยังคงมีกำไรต่อเนื่อง และมีรายได้ปีละราว 40, 000 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิราว 2,000 ล้านบาท ผลิตเพื่อป้อนตลาดในประเทศ 20% อีก 80% ส่งออก ทั้งในส่วนของกระดาษ และเยื่อ 5 – 7 ล้านตันในแต่ละปี
“โมเดลการทำธุรกิจของเรา จัดว่าเป็น Perfect Model ที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก กับ บวก เพราะการปลูกต้นกระดาษ คือ การลดก๊าซเรือนกระจก ทุกวันนี้ บริษัทให้ชาวไร่ชาวนาซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินปลูกต้นกระดาษที่ได้ Breed พันธุ์ใหม่ๆ และสร้างกระบวนการ Cloning ทางพันธุกรรมขึ้นใหม่เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีกว่า…
นอกจากจะช่วยให้ชาวไร่ชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้น มีความสามารถในการส่งลูกหลานเรียนหนังสือสำเร็จมาหลายรุ่นแล้ว ธุรกิจในเครือซึ่งเตรียมตัวปรับเปลี่ยน ไปใช้ไฟฟ้า จะยิ่งทำให้เกิดอากาศสะอาดขึ้นแก่ชุมชนที่ดั๊บเบิ้ล เอ ไปตั้งอยู่ด้วย”
เข้าตำรา ใครปรับตัวได้ไวกว่า คนนั้นย่อมชนะ ว่างั้นเถอะ!!
คุณย่าขาซิ่ง