• อินเกมส์ดันลดดอกเบี้ย
• เข้าฝักกระตุ้นเศรษฐกิจ
• คลัง-แบงก์ชาติ ต้องช่วยรัฐ
ที่ผ่านมา กิตติรัตน์ เข้าไปมีบทบาทอย่างมากในการให้ความเห็นเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ควบคู่ไปกับการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ บาลที่มีเป้าหมายลดการฝืดเคืองเงินทองในกระเป๋าคนไทยลง
และ ทำเรื่องชักหน้า ไม่ถึงหลัง ให้กลับมามีกินมีใช้ได้ ภายใต้ความร่วมมือกันระหว่างกระทรวงการคลัง และแบงก์ชาติที่ควรทำงานควบคู่กันไปทั้ง 2 ขา
ขาหนึ่งคือกระทรวงการคลังซึ่งทำหน้าที่ดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจด้วยการจัดเก็บภาษีอากรเข้าเป็นรายได้แผ่นดินเพื่อนำมาพัฒนา และ ส่งเสริมเศรษฐกิจให้ประชาชนมีความอยู่ดีกินดี นอกเหนือไปจากการกำกับดูแลแบงก์รัฐ และรัฐวิสาห กิจต่างๆ
ส่วนขาที่เป็นหน้าที่ของแบงก์ชาติ คือ รักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา และใช้นโนยายอัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือในการรักษาความเหลื่อมล้ำ และเป็นธรรมแก่ผู้คนเพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินเพื่อการประกอบสัมมาอาชีวะได้
ความพยายามขอให้แบงก์ชาติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง หลังปรับขึ้นดอกเบี้ยตาม
คุณพ่อเฟดมาตลอดช่วง 4 ปีจนดอกเบี้ยนโยบายขึ้นมาอยู่ที่ 2.50 % ต่อปี ด้วย
ข้ออ้างที่ว่าต้องให้อัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามกรอบเงินเฟ้อที่ตั้งไว้ในระดับ 1- 3% ทำให้รัฐบาลอดีตนายกฯเศรษฐา ถึงขั้นอึดอัดหาวเรออย่างมาก จนจำใจต้องล่าถอยไป
ไม่เท่านั้น ผู้คนจากแบงก์ชาติ ยังเล่นงานนโยบายแจกเงิน 10,000 บาทจากกระ เป๋าเงินดิจิทัลอย่างหนักในทุกรูปแบบ ขณะที่ทุกฝ่ายต่างก็รับรู้กันดีว่า แบงก์ชาตินี่แหละที่กำลังทำเรื่องนี้อยู่ ส่วนจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ พวกเราไม่รู้หรอก จะรู้กันก็แต่ในรั้วในวังบางขุนพรหม นั่นเอง
• อันดับแรกแก้หนี้สาธารณะ
• แตะ 90% สูงกว่าเพื่อน 2 เท่า
สิ่งที่ทำให้รัฐบาล และกระทรวงการคลังปวดหัวหนักก็คือ การไม่ยอมร่วมมือแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนของประเทศไทยซึ่งมีตัวเลขหนี้พุ่งขึ้นไปสูงจนแตะ 90% ของ GDP สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศกำลังพัฒนาถึง 2 เท่า กระท่ัง BIS แสดงความวิตกกังวลว่าถ้าไม่แก้ไข ที่สุดหนี้จะสูงท่วมหัว จนประเทศไทยเอาตัวไม่รอด
แนวทางการแก้ไขที่เคยนำเสนอไปก่อนหน้า ก็เป็นแนวทางแก้หนี้ทั่วไปที่ประเทศไหนๆก็ใช้ คือ ลดดอกเบี้ย ยืดระยะเวลาการผ่อนชำระ หรือ หยุดการชำระดอก
ไว้ชั่วคราว พอให้ลูกหนี้หายใจคล่องโดยให้ชำระหนี้เฉพาะเงินต้นก่อน แต่ทั้ง หมดนี้ขึ้นอยู่กับความช่วยเหลือของแบงก์ชาติเป็นสำคัญ ซึ่งก็ไม่ได้ทำอะไรมาก
นี่นะ
เหตุผลทั้งหลายเหล่านี้ ทำให้เกิดเป็นความพยายามขอโอกาสเข้าไปมีส่วนในการอธิบายให้แบงก์ชาติทราบถึงความคิดของรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาว่า มีเหตุผลมากมายที่ต้องนำพาประเทศชาติไปสู่การเติบโตครั้งใหม่ที่คนไทยต้องมีทักษะ และความสมบูรณ์พูนสุขไปพร้อมๆกัน
ไม่มีเหตุผลกลใดเลย พับผ่าเหอะ ที่จะเข้าแบงก์ชาติไปเพื่อสร้างหายนะให้เกิดแก่ประเทศชาติ และคนไทย
ทีนี้ลองหันกลับมาดูผลลัพธ์ของการที่แบงก์ชาติไม่ได้ช่วยอะไรรัฐบาล หรือประชา ชนคนไทยในยามยากเลย แม้แต่ขอให้ลดภาระต่างๆแก่ผู้ประกอบการลงบ้าง มันก็ไม่มี ไม่ทำ และไม่เกิด…รึว่า เราไม่รู้ ไม่ได้ยินอะไรเล็ดลอดออกมาจากวัง
• ชี้ชัดยอดซื้อวูบ รถ บ้าน ตึกแถว
• หลุดไฟแนนซ์-แบงก์ไม่ปล่อยสินเชื่อ
สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพิ่งแถลงไปสัปดาห์ก่อนว่า ยอดการส่งออกยานยนต์ไทย เดือนก.ย. 67 น่ะ วูบไป 17.67% ส่วนมูลค่ารวมการซื้อขายคิดเป็น 74,836.78 ล้านบาท ลดลงไป 11.88%
สำหรับตัวเลขการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในช่วง 9 เดือน (ม.ค.- ก.ย.67) ผลิตรถยนต์ได้ 768,887 คัน ลดลง 6.45% โดยมีมูลค่ารวม 724,945 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.15%
ทั้งนี้การผลิตรถยนต์นั่งเพื่อขายในประเทศลดลง 14.35% ขณะที่รถกระบะซึ่ง
ใช้เป็นรถเพื่อการพาณิชย์ ขายในประเทศก็ลดลงถึง 54.66%
อยากให้ดูตัวเลขยอดขายในประเทศ จะพบว่า เดือนก.ย.67 จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้มี 39,048 คัน แต่ยอดขายลดลง 37.11% และเมื่อรวมยอดขาย 9 เดือนแรกของปี มีรถยนต์ผลิตได้ 438,659 คัน แต่ยอดขายลดลง 25.25%
โฆษกสรุปว่า ยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ลดลงไปถึง 37.11% นี้ต่ำสุดในรอบ 53 เดือน (4 ปี 5 เดือน) โดยมีสาเหตุจากความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อให้ผู้ซื้อรถยนต์เป็นหลัก
จึงไม่แปลกถ้าจะบอกว่า ทำไมจึงมีรถยนต์หลุดไฟแนนซ์ไปกองกันอยู่ที่เต้นท์รถ
จำนวนมาก ให้ยังไม่มีใครเอาเลย
แล้วทำไมมีบ้านขายที่ไม่ออกมามายจนผู้ประกอบการเตือนว่าอาจจะเกิดวิกฤตอสังหาริมทรัพย์อีกรอบ เพราะแบงก์ไม่ปล่อยเงินกู้ให้ และไม่แปลกที่ทำไมปีนี้
จึงเป็นปีที่ตึกแถวในย่านต่างๆถูกขายทิ้งร้างกันเป็นจำนวนมาก
ถ้าเศรษฐกิจไทยไม่ถึงขั้นวิกฤตตลอดช่วง 10 ปีที่ GDP เติบโตได้เพียง 1% เศษ รวม ตลอดถึงปีที่ อดีตนายกฯเศรษฐา ทวีสิน เข้ามาบริหารประเทศ ก็ไม่มีวิกฤตด้วยล่ะก็
เรื่องราวแย่ๆของค่ายผู้ผลิตรถยนต์ เต้นท์รถมือสอง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และ ตึกแถวอันเป็นที่ตั้งของธุรกิจร้านชำ และ SMEs รายเล็กรายน้อย ก็คงไม่เกิดขึ้น
เอาจริงๆนะ ถึงเวลานี้แล้ว ถ้ายังมัวแบ่งสีแบ่งค่าย แบ่งชั้นวรรณะ ไม่เร่งรีบรวมตัวกันผลักดันประเทศชาติ และคนไทยข้ามผ่านการเปลี่ยนแปลงที่สุดจะโหดร้ายนี้ไปให้ได้ ประเทศไทยจะไม่รอดด้วยประการทั้งปวง
อนึ่ง.ย่าลืมไปว่า แบงก์ชาติ ส่งแคนดิเดตมา 2 คนเพื่อช่วงชิงตำแหน่งประธานบอร์ดของเขา ท่านแรกคือ “กบ” กุลิศ สมบัติศิริ อดีตอธิบดีกรมศุลกากรผู้โชคดีที่สามารถเกี่ยวคอนเนคชั่นการเมืองจากกระทรวงการคลังโจนทะยานไปเป็นปลัดกระทรวงพลังงานสำเร็จ
ในขณะที่อีกท่านคือ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อดีตนายกสภามหาวิทยาลัยธรรม ศาสตร์ พยานปากเอกของพรรคก้าวไกลที่ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญเห็นควรไม่ยุบพรรคก้าวไกล
คุณย่าขาซิ่ง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : “กิตติรัตน์”ลั่น! อย่าด้อยค่าเงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ต