“ไบเดน”ลงนามรับรองกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้ สหรัฐฯ รอดผิดนัดชำระ

  • ลดงบประมาณรัฐบาลกลางลง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • โครงการไม่เกี่ยวข้องกับกองทัพจะไม่ได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้น
  • รัฐบาลไบเดนจะต้องกลับมาเก็บหนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษา

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ลงนามในกฎหมาย “ความรับผิดชอบด้านการคลัง” ฉบับปี 2566 เพื่อให้มีผลบังคับใช้ เมื่อวันเสาร์ ที่สาระสำคัญคือการเพิ่มเพดานหนี้ให้แก่รัฐบาลกลาง เพื่อให้รอดพ้นจากการผิดนัดชำระหนี้มูล่าค่ามหาศาล 31.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 1,092.6 ล้านล้านบาท ) ที่กระทรวงการคลังสหรัฐกล่าวว่า จะครบกำหนดในวันที่ 5 มิ.ย. นี้

ทั้งนี้ ไบเดนขอบคุณ “ความร่วมมือ” ระหว่างพรรครีพับลิกันซึ่งครองเสียงข้างมาในสภาผู้แทนราษฎร กับพรรคเดโมแครต ที่สามารถนำไปสูการป้องกัน ไม่ให้สหรัฐต้องเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งจะส่วผลให้เกิด “หายนะ” ไปทั่วโลก

การลงนามรับรองกฎหมายดังกล่าวของไบเดน เกิดขึ้นหลังสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ มีมติในการประชุมเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ ด้วยเสียงข้างมากท่วมท้น 314 ต่อ 117 เสียง และวุฒิสภามีมติด้วยเสียงข้างมาก 63-36 เสียง เพิ่มเพดานหนี้ของประเทศ ออกไปจนถึงเดือน ม.ค. 2568 หมายความว่า ปีหน้าซึ่งเป็นปีที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งใหม่ รัฐบาลกลางจะไม่ประสบกับปัญหาการกู้ยืม และการชำระหนี้

อย่างไรก็ดี รายงานโดยสำนักงบประมาณของสภาคองเกรสระบุว่า ข้อตกลงเพนดานหนี้ครั้งนี้ จะเป็นการลดงบประมาณของรัฐบาลกลางจะลง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 52.2 ล้านล้านบาท ) จนถึงปี 2576 โดยโครงการ “ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกองทัพ” จะไม่ได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้น ในปีงบประมาณ 2567 และจะเพิ่มให้เพียง 1% สำหรับปีงบประมาณ 2568

ขณะเดียวกัน รัฐบาลไบเดนจะต้องกลับมาเก็บหนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ซึ่งระงับไปตลอดช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากนี้ พรรครีพับลิกันซึ่งครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ยังสามารถกดดันให้ผู้นำสหรัฐยอมรับเงื่อนไข เพิ่มงบประมาณกระทรวงกลาโหมอีก 3% เป็น 886,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 30.8 ล้านล้านบาท ) ในปีงบประมาณ 2567

ปัจจุบัน สหรัฐเป็นประเทศซึ่งลงทุนทางทหารมากที่สุดในโลก และพรรครีพับลิกันให้เหตุผลว่า เพื่อรักษาบทบาทการเป็นอภิมหาอำนาจของรัฐบาลวอชิงตัน.

เครดิตภาพ : ทวิตเตอร์ President Biden