“ไทยยูเนี่ยน” ประกาศผลดำเนินธุรกิจไตรมาส 3 โชว์ยอดการขายโต 3.8% รับเรื่องค่าเงินมีผลกระทบ ไม่หวั่นสหรัฐฯตัดสิทธิ์จีเอสพี

(Patrick de Noirmont)
  • เผยปริมาณการขายเติบโตเข้มแข็ง ด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น
  • ด้านยอดขายลดลง 6.8% อยู่ที่ 31,838 ล้านบาท เหตุอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเล่นงาน
  • ย้ำเดินหน้าต่อพัฒนาสินค้าที่หลากหลาย ชูยอดขายทวีปอเมริกาเหนือสูงสุด 38%

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงยอดขายในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2562 อยู่ที่ 31,838 ล้านบาท  หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราแล้ว ยอดขายประจำไตรมาสลดลง 1.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน แต่ปริมาณการขายของบริษัทยังเข้มแข็งและเติบโตอยู่ที่ 3.8% จากธุรกิจอาหารทะเลแช่เยือกแข็งและแช่เย็น และผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า

ทั้งนี้กำไรขั้นต้นประจำไตรมาสอยู่ที่ 5,077 ล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 15.9% เมื่อเทียบกับ 15.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี (ม.ค.-ก.ย.) มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 4,200 ล้านบาท และความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น  ท่ามกลางความผันผวนของค่าเงิน

ธีรพงศ์ จันศิริ

ในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2562  โดยยอดขายจากทวีปอเมริกาเหนือมีสัดส่วนถึง 38% ยอดขายจากทวีปยุโรป 31% ยอดขายจากประเทศไทย 13% และตลาดอื่นๆ 18%

“แม้ปริมาณการขายที่เติบโตถึง 3.8% แต่ไทยยูเนี่ยนรายงานยอดขาย อยู่ที่ 31,838 ล้านบาท ซึ่งลดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากค่าเงินสกุลหลักๆ ในการค้า ได้แก่ เหรียญสหรัฐลดลง 6.9%  ปอนด์ลดลง 12% และยูโรลดลง 11%” 

สำหรับสัดส่วนของยอดขายใน 9 เดือนแรกของปีนี้ เป็นสินค้าแบรนด์ของบริษัท 42% เพิ่มขึ้น 1% จากปีก่อนหน้า และที่เหลือ 58% เป็นการผลิตสินค้าให้กับลูกค้าบริษัทต่างๆ 

ทั้งนี้ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2562 ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปมียอดขายอยู่ที่ 14,466 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า เนื่องจากราคาทูน่าที่ลดลง 17% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ของปี 2561 รวมถึงค่าเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักในการค้าของโลก

ส่วนธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็งและแช่เย็นมีปริมาณการขายอยู่ที่ 73,084 ตัน ในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้นถึง 15.2% อย่างไรก็ตาม ด้วยราคาของกุ้งที่ลดลง 9.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ยอดขายของธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็งและแช่เย็นลดลง 2% อยู่ที่ 12,768 ล้านบาท แต่อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น ในขณะที่ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 6.9% อยู่ที่ 4,604 ล้านบาท อีกทั้งปริมาณการขายยังเติบโตขึ้นอีก 2.6%

“ผลิตภัณฑ์ที่หลายตัวยของบริษัทได้กระแสตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณการขายของเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3 อย่างไรก็ดี ตลาดสกุลเงินที่ผันผวนทำให้สินค้าส่งของจากประเทศไทย ต้องเจอกับสภาวะความท้าทาย  บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ เล็งผลถึงการเติบโตในระยะยาว และพัฒนาการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อลดแรงกดดันในแง่ของการทำกำไร” นายธีรพงศ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม นายธีรพงศ์ ยังกล่าวประเด็นที่สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเริกาประกาศเพิกถอนสิทธิพิเศษภาษีศุลกากรสินค้า (GSP) สำหรับสินค้านำเข้าจากประเทศไทยไปยังประเทศสหรัฐฯ หลายรายการ ซึ่งบริษัทยืนยันว่าไม่มีผลกระทบกับการดำเนินงานของบริษัทฯ นอกจากนี้บริษัท จอห์น เวสต์ ฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งบริษัทในเครือ ยังได้ประกาศว่า ศาลได้ตัดสินให้บริษัทไม่มีความผิดใดๆ ในข้อกล่าวหาว่าทำธุรกิจกับการประมงที่ผิดกฎหมาย หรือไอยูยู คำตัดสินเป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าไทยยูเนี่ยนยึดมั่นในนโยบายการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส