“ออมสิน” ปักธงลดคาร์บอนเป็นศูนย์ในปี 2050 ลั่นงดปล่อยสินเชื่อโรงไฟฟ้าถ่านหิน

ธนาคารออมสินปักหมุด Net Zero ตั้งเป้าลดคาร์บอนเป็นศูนย์ในปี 2050 ชูแผนเข้ม “งด-เลี่ยง” สนับสนุนการเงินธุรกิจไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

  • ชูประกาศใช้ ESG Score ประเมินลูกค้าสินเชื่อเป็นแบงก์แรก
  • วางแผนงานระยะยาว หวังลดก๊าซเรือนกระจกในภาพรวมลงได้มากกว่า 50% ภายในปี 2030
  • ตั้งเป้าปี 2030 พอร์ตสินเชื่อ ESG จะมีสัดส่วนของโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด ซัพพลายเชนอีวี อยู่ที่ 35%

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ธนาคารออมสิน ได้อนุมัติแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Emissions Roadmap ภายในปี 2050 สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ราว 1.68 ล้านตัน  พร้อมตั้งแผนงานระยะยาวเพื่อหวังลดก๊าซเรือนกระจกในภาพรวมลงได้มากกว่า 50% ภายในปี 2030 โดยจะดำเนินการทั้งรูปแบบภายในองค์กร ที่จะลดการใช้น้ำมัน และใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบโซลาร์รูฟท็อปแทน การส่งเสริมการปลูกป่า 50,000 ไร่ รวมถึงการใช้นโยบายเปลี่ยนผ่านของลูกค้าด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษให้กับลูกค้าและการลงทุนที่เน้นความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

“ปัจจุบันในส่วนของออมสินเองก็ได้ทยอยติดตั้งแผงโซล่าร์ในพื้นที่ของสำนักงานใหญ่ และสำนักงานสาขาทั่วประเทศโดยคาดว่าในปี 2568 จะดำเนินการติดตั้งครบ 900 สาขา รวมถึงมีแผนจะเปลี่ยนการใช้รถยนต์ของออมสินมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมสร้างจุดชาร์จด้วย ภายในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะเปลี่ยน 100% ภายใน 3 ปีข้างหน้า และต่างจังหวัดภายใน 5 ปี อีกทั้งจะเดินหน้าปลูกป่าเพื่อดูดซับคาร์บอนอย่างต่อเนื่อง และช่วยพัฒนาชุมชน สร้างอาชีพเสริมรายได้ให้กับชุมชนโดยรอบ เป็นต้น”

นายวิทัย กล่าวด้วยว่า สำหรับการปล่อยสินเชื่อลูกค้ารายใหญ่ ที่เป็นกลุ่มโรงไฟฟ้านั้น แผนตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ธนาคารจะไม่ปล่อยสินเชื่อให้แก่ธุรกิจที่ดำเนินธุรกิจการใช้เชื้อเพลิงถ่านหินและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง และจะเริ่มการใช้คะแนนESG Score หรือแผนการดำเนินการงาน Net Zero มาประเมินการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าตั้งแต่ 500 ล้านบาทขึ้นโดยผลคะแนน ESG Score จะนำมาประกอบการพิจารณาการอนุมัติสินเชื่อ โดยธนาคารพร้อมมอบส่วนลดดอกเบี้ยและ/หรือ อนุมัติเพิ่มวงเงินสินเชื่อให้เป็นพิเศษ เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนกิจการที่ดี และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ ธนาคารออมสินยังได้จัดกลุ่มธุรกิจที่จะสนับสนุนสินเชื่อและการลงทุนออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.ธุรกิจที่ไม่สนับสนุน เนื่องจากเป็นธุรกิจที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูง ได้แก่ ธุรกิจถ่านหิน 2.ธุรกิจที่ต้องพิจารณาเป็นพิเศษโดยหลีกเลี่ยงการให้สินเชื่อแก่ธุรกิจที่มีคะแนน ESG Score ในระดับต่ำมาก โดยธนาคารจะเข้าทำความเข้าใจและให้ความรู้กับลูกค้าเพื่อช่วยเหลือ และให้คำปรึกษาในการปรับปรุงดำเนินงานด้านความยั่งยืน รวมทั้งด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งระบบ 3.ธุรกิจที่ให้การสนับสนุนเป็นพิเศษ ผ่านการกำหนดสิทธิประโยชน์แก่ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ธุรกิจในอุตสาหกรรมที่ส่งเสริม BCG ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าและซัพพลายเซน หรือกิจการบริษัทที่มีคะแนน ESG Score ในระดับสูง 

นายวิทัย กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ภาพรวมธนาคารออมสินมีพอร์ตสินเชื่อรวม 2.2 ล้านล้านบาท ธนาคารมีลูกค้าที่ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาดใหญ่อยู่ 1 ราย ตามแผนดังกล่าว จะสนับสนุนให้ลูกค้าทั้งรายเก่าและรายใหม่ เปลี่ยนผ่านสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยตั้งปี 2030 พอร์ตสินเชื่อ ESG จะมีสัดส่วนของโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด, ซัพพลายเชนอีวี อยู่ที่ 35% และส่งเสริมสินเชื่อให้ลูกค้าบริษัทจดทะเบียนต้องมีแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยจะมีสัดส่วนลูกค้าส่วนนี้ 40% 

“นโยบายดังกล่าวตอบสนองแผนของประเทศ ที่จะมุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2050 ซึ่งเชื่อมั่นว่ารัฐบาลใหม่จะสนับสนุนแผนงานนี้ ในขณะเดียวกันเพื่อลดความเสี่ยงการปล่อยกู้ที่ไม่เหมาะสม ทางธนาคารมีแผนงานดำเนินงานตามกรอบปล่อยสินเชื่อพลังงานสะอาด, สินเชื่อที่เน้นลูกค้าบริษัทที่มีแผนดำเนินธุรกิจ ESG ชัดเจน, ลูกค้าโครงสร้างพื้นฐาน โดยกลุ่มเหล่านี้ก็จะเป็นรูปแบบสัญญาสินเชื่อที่มีสถาบันการเงินหลายแห่งเป็นเจ้าหนี้ร่วมกัน (Syndicated loan)  โดยแผนงานปล่อยกู้ลูกค้าขนาดใหญ่เหล่านี้ ก็จะเป็นการนำผลกำไรที่ได้มาเป็นส่วนช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยให้มีต้นทุนที่ต่ำต่อไป” นายวิทัย กล่าว