“อนุทิน” นำคณะเยี่ยม “อุดรฯ – บึงกาฬ” เร่งพัฒนาความสามารถด้านสาธารณสุข พร้อมวางร่วมวางศิลาฤกษ์อาคาร รพ.บึงกาฬ

  • โดยสร้างอาคารผู้ป่วยใน 10 ชั้น “ฐิตธัมโม เมตตา”
  • ลั่นสาธารณสุขให้ความสำคัญ ในการพัฒนางานด้านสาธารณสุขทุกมิติ
  • พร้อมอัดวัคซีนลงพื้นที่ วางเป้าฉีดแตะ 70% ในเดือน พ.ย.นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (5 พ.ย.64) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ได้ลงพื้นที่ปฏิบัติภารกิจที่จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดบึงกาฬ โดยทางคณะได้ลงไปตรวจเยี่ยมการทำงานของบุคลากรด้านการสาธารณสุข ที่ศูนย์ให้บริการวัคซีนโควิด-19 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ และผู้มารับบริการ 

จากนั้นได้เดินทางต่อไปยังจังหวัดบึงกาฬ เพื่อร่วมพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารผู้ป่วยใน 10 ชั้น “ฐิตธัมโม เมตตา” โรงพยาบาลบึงกาฬ จ.บึงกาฬ  ก่อนเดินทางไปที่โครงการพัฒนาศูนย์เรียนรู้กัญชาทางการแพทย์ฯ ที่เขตสุขภาพที่ 8 จังหวัดบึงกาฬ วิสาหกิจชุมชน เกษตรอินทรีย์และแปรรูปสมุนไพร ตำบลโนนสมบูรณ์ อำเภอเมือง เพื่อตรวจเยี่ยมการดำเนินงาน 

นายอนุทิน กล่าวว่า ภารกิจวันนี้คือ การมาดูผลการดำเนินงานเรื่องการพัฒนาระบบสุขภาพในพื้นที่ 2 จังหวัด ซึ่งที่จ.บึงกาฬ จากนี้จะมีขีดความสามารถในการรักษาพยาบาลมากขึ้น จากการเปิดใช้งานอาคารผู้ป่วยใน 10 ชั้น “ฐิตธัมโม เมตตา” โรงพยาบาลบึงกาฬ ที่มีพิธีการวางศิลาฤกษ์ในวันนี้

ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญในการพัฒนางานด้านสาธารณสุขทุกมิติ เพื่อให้บริการดูแลประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ผ่านมา โรงพยาบาลบึงกาฬให้บริการดูแลรักษาประชาชนในพื้นที่  จังหวัดใกล้เคียง และประเทศเพื่อนบ้านสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จึงมีการขยายโรงพยาบาลเพื่อให้รองรับการเข้าถึงบริการของประชาชน ให้ได้รับความสะดวกและรวดเร็ว ยังผลประโยชน์สูงสุดให้ประชาชน

นอกจากนี้ในส่วนของการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ยังเป็นเรื่องสำคัญ ทางกระทรวงได้เร่งจัดหาลงพื้นที่  เป้าหมายที่วางไว้คือ จะต้องฉีดวัคซีนให้ได้ 70% ของประชากรในเดือนพฤศจิกายน เพื่อสร้างความปลอดภัยกับประชาชน เพราะวัคซีนช่วยป้องกันการป่วยหนัก และเสียชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โรงพยาบาลบึงกาฬ ได้รับเมตตาจากหลวงปู่ปรีดา ฉนทกโร (เจ้าอาวาสวัดป่าดานวิเวก) ประสงค์บริจาคก่อสร้าง อาคารพักผู้ป่วยใน 10 ชั้น จำนวน 1 หลัง พร้อมสนับสนุนครุภัณฑ์ทางการแพทย์มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ทั้งนี้เพื่อรองรับผู้ป่วยและบริการประชาชนทั่วไป ที่มารับบริการได้อย่างเพียงพอโดยกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง