หยุดพฤติกรรมทำร้ายดวงตา เพื่อลดปัญหาตาอ่อนล้า ดูแลดวงตาอย่างตรงจุด

Blue Light from Your Phone at Night Damaging Your Eyes

ดวงตา ไม่ใช่แค่หน้าต่างของหัวใจ แต่ยังเป็นโลกกว้างให้กับเราด้วย การถนอมดวงตาและใช้งานอย่างเหมาะสม รวมทั้งปกป้องดวงตาไม่ให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในยุคที่สมาร์ทโฟนเป็นเหมือนเงาตามตัว รวมถึงการ Work From Home ในช่วง COVID-19 อาจทำให้หลายคนใช้สายตามากจนดวงตาแห้งและอ่อนล้า ดังนั้นเราควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำร้ายดวงตา ดังนี้

1. พักผ่อนน้อย การนอนหลับน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน นั่นหมายความว่าเราต้องใช้สายตามากกว่าวันละ 18 ชั่วโมง ส่งผลให้ดวงตาอ่อนล้า มีอนุมูลอิสระสะสม อาจนำไปสู่โรคต้อกระจกและจอประสาทตาเสื่อมได้

2. จ้องจอ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ มักจะมีแสงสีฟ้าหรือ Blue Light คลื่นแสงพลังงานสูงที่เป็นอันตรายต่อดวงตา ยิ่งจ้องจอนานดวงตาก็ยิ่งได้รับแสงสีฟ้ามากขึ้น อาจทำให้ตาแห้งและเสี่ยงต่อการเกิดโรคจุดรับภาพเสื่อม ต้อกระจกรวมถึงทำให้ความสามารถในการมองเห็นลดลง 

3. ตากแดดตากลม การเผชิญกับแสงแดดหรือรังสี UV ฝุ่นละอองและลมเป็นประจำ อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ดวงตา รวมถึงเสี่ยงต่อการเกิดต้อชนิดต่าง ๆ

4. ใส่คอนแทคเลนส์เป็นประจำ อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบได้ง่าย รวมทั้งยังทำให้เกิดภาวะตาแห้ง หากปล่อยไว้นานจะทำให้กระจกตาเป็นแผลอักเสบ ติดเชื้อและอาจรุนแรงถึงขั้นสูญเสียดวงตาได้

5.  รับประทานอาหารไม่มีประโยชน์ ทำให้ขาดสารอาหารบำรุงดวงตา เสี่ยงต่อการเกิดโรคหรือติดเชื้อที่ดวงตาได้ง่าย

asian woman work from home with video conference app collaboration with colleagues with business chart on tablet.live streaming meeting.protect risk of being exposed to coronavirus

นอกจากพฤติกรรมที่ทำร้ายดวงตาแล้ว ความเสื่อมตามวัยและโรคประจำตัวบางอย่างก็ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตาได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวานที่เสี่ยงเกิดต้อกระจกได้มากกว่าคนทั่วไป 2 – 4 เท่า และต้อกระจกมีโอกาสทำให้ตาบอดได้ถึงร้อยละ 52 ส่วนในผู้สูงอายุนั้นมีโอกาสเกิดต้อกระจกมากถึงร้อย 95 ดังนั้น เราควรการหยุดพฤติกรรมเสี่ยงและบำรุงสายตาด้วยสารอาหารที่จำเป็น ซึ่งประกอบด้วย 1. ลูทีนและซีแซนทีน(Lutein and Zeaxanthin) สารกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถสร้างเองได้ จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร และเป็นแคโรทีนอยด์ 2 ชนิดเท่านั้นที่พบอยู่ที่จุดรับภาพของลูกตาและที่เลนส์ตา ทำหน้าที่ปกป้องเซลล์จอประสาทตาไม่ให้ถูกทำลาย ลดอนุมูลอิสระและกรองแสงสีฟ้า ช่วยลดโอกาสเกิดต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อมและช่วยให้การมองภาพเห็นชัดขึ้น

 2. วิตามินเอ ช่วยให้การมองเห็นเป็นปกติ เพิ่มคุณภาพน้ำตาในกลุ่มคนที่ตาแห้งและช่วยคงสภาพปกติของเยื่อบุต่าง ๆ หากขาดวิตามินเอจะทำให้มองเห็นได้ยากในเวลากลางคืนหรือในที่แสงสว่างน้อย 3. แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) เป็นสารแคโรทีนอยด์อีกชนิดที่ร่างกายสร้างขึ้นเองไม่ได้ ต้องได้จากการรับประทานสาหร่ายสีแดงสายพันธุ์ Haematococcus Pluvialis มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ลดความเมื่อยล้าและเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังดวงตา ทำให้มองเห็นภาพได้ชัดขึ้น 4. สารสกัดจากบิลเบอร์รี่ มีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ต้านอนุมูลอิสระช่วยให้จอตาเป็นปกติ ชะลอการขุ่นมัวของเลนส์ตา เพิ่มความแข็งแรงของเส้นเลือดฝอยที่ไปเลี้ยงดวงตา เพิ่มการปรับตัวในการมองเห็นในที่มืดและลดอาการล้าของดวงตา 5. วิตามินอี ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสารอาหารทั้ง 5 ชนิดนี้มีอยู่ใน  กิฟฟารีนแอลซีวิต 3 เอกซ์ (Giffarine LZvit3X) ให้ลูทีนและซีแซนทีนมากถึง 13.15 มก. เทียบเท่าการรับประทานแครอท 5 กก. ฟักทอง 1 กก. และบล็อกคโคลี่ 1 กก. มาในรูปแบบแคปซูลช่วยให้รับประทานง่าย

 นอกจากนี้ยังควรเสริมด้วย กิฟฟารีนอควาเทียร์ (Giffarine Aqua Tear) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลา บาย อัลกาเทรียม ที่มี DHA แบบพิเศษ (Fish Oil by Algatrium) นำเข้าจากสเปนและได้รับรางวัลสุดยอดนวัตกรรมด้านวัตถุดิบเพื่อสุขภาพ (Best Innovation in Health Ingredients) ในงาน Health Ingredients World Exhibition 2008 โดยเป็น DHA ที่ต่างจากน้ำมันปลาทั่วไป เพราะมีโครงสร้างที่มีความคงตัวและดูดซึมได้ง่าย รวมทั้งยังมีงานวิจัยรองรับว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีอาการตาแห้ง หากรับประทานวันละ 500 มก. ต่อเนื่อง 4 สัปดาห์ จะช่วยให้ตาชุ่มชื้น รู้สึกสบายตา มองเห็นภาพได้ชัดขึ้น กระพริบตาง่ายไม่ฝืด ตาขาวแดงน้อยลง น้ำตาไหลจากการระคายเคืองตาลดลง และลดการใช้น้ำตาเทียม นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของวิตามินเอนำเข้าจากสวิตเซอร์แลนด์ ที่จะช่วยคงสภาพปกติของการมองเห็น โดยมาในรูปแบบของแคปซูล รับประทานพร้อมอาหารวันละ 2 แคปซูล เพียงเท่านี้คุณจะได้ใส่ใจดูแลดวงตาของคุณอย่างดีที่สุด และลดปัญหาการเกิดโรคต่าง ๆ ได้