- เหตุกู้เงินจำนวนมหาศาลแก้ปัญหาโควิด-19ระบาดหนักในประเทศ
- ส่งผลให้รัฐบาลมีหนี้สาธารณะสัดส่วนสูงถึง 100.5% ของGDP
- นักเศรษฐศาสตร์ไม่แปลกใจตัวเลขเงินกู้สูงแต่เตือนสถานการณ์อาจแย่กว่านี้
สำนักงานสถิติแห่งชาติ (ONS) เผยว่า เดือนก.ค.63 หนี้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้นถึงกว่า 227,600 ล้านปอนด์ เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 2.004 ล้านล้านปอนด์ ซึ่งหมายความว่า หนี้ของรัฐบาลมากกว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือมากกว่า 100% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี หรือนับตั้งแต่ค.ศ. 1960-61 (พ.ศ.2503-04) เป็นต้นมา โดยขึ้นมาอยู่ที่ 100.5% ของ GDP
ขณะที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ ให้ความเห็นว่า การที่หนี้ของรัฐบาลปรับขึ้นมาสูงมาก เป็นผลมาจากความพยายามของรัฐบาลในการต่อสู้กับการระบาดของโควิด-19 และเตือนว่า อาจเลวร้ายลงกว่านี้ก่อนที่จะดีขึ้น
รูธ เกรกอรี่ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส จาก Capital Economics กล่าวว่า รัฐบาลได้กู้เงินมากถึง 26,700 ล้านปอนด์ในเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ลดลงจากเดือนมิ.ย.ที่กู้เงิน 29,500 ล้านปอนด์ เพื่อแก้ปัญหาการระบาดของโควิด-19 และจำนวนเงินกู้เดือนก.ค.63 ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.63 แต่เมื่อรวมยอดเงินกู้ของรัฐบาลในช่วงเดือนเม.ย.-ก.ค.63 แล้วสูงถึง 150,500 ล้านปอนด์
“ตัวเลขเงินกู้ของรัฐบาลใกล้เคียงกับการขาดดุลปี 2009-10 (พ.ศ.2552-53) ที่ระดับ 158,300 ล้านปอนด์ ซึ่งถือว่าเป็นการขาดดุลเงินสดมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนให้เห็นถึง การสนับสนุนด้านการคลังที่มากเกินไป ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการเพื่อแก้วิกฤตเศรษฐกิจ”
ด้านคาร์ล เอมเมอร์สัน รองผู้อำนวยการ Institute for Fiscal Studies กล่าวว่า ไม่แปลกใจเลยที่รัฐบาลกู้เงินจำนวนมาก เพราะต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ทำให้รัฐบาลสามารถชำระหนี้น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ตั้งแต่ในช่วงก่อนเกิดการระบาด ขณะที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้เคยเตือนแล้วว่า ประมาณการการกู้เงินอาจมากกว่าในช่วงสถานการณ์ปกติ
ทั้งนี้ เศรษฐกิจอังกฤษได้เข้าสู่ภาวะถดถอย หลัง GDP ในไตรมาสที่ 2/63 หดตัวลง 20.4% ซึ่งเป็นผลมาจากผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์