“สุพัฒนพงษ์”พอใจตัวเลขเศรษฐกิจดีขึ้นหลังเปิดประเทศ

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาวน์ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจ ภายหลังการเปิดประเทศ ว่า ตัวเลขดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว 2 เท่า เป็นการแสดงความมั่นใจของเอกชนว่าเห็นทิศทางและความพร้อม ไม่เพียงแค่ช่วงโควิด-19 ที่เราสามารถดูแลและสร้างความต่อเนื่องในช่วงการผลิตได้ดี อีกทั้งยังเห็นถึงทิศทางของรัฐบาลที่จะเดินไปข้างหน้า ฟื้นฟูเศรษฐกิจด้านอุตสาหกรรมใหม่ๆ ทั้งดิจิทัล และการที่ไทยประกาศร่วมการลดก๊าซเรือนกระจกเป็นทิศทางที่ชัดเจน ประกอบกับหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ดำเนินการในโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่ง ทำให้ได้เห็นการก่อสร้างระบบขนส่งที่พัฒนาไปมาก เชื่อมต่อระดับภูมิภาค และจะเห็นผลในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งวันนี้นักลงทุนเห็นแล้วก็รู้สึกอุ่นใจที่จะมาลงทุน

เมื่อถามถึงแนวโน้มการเพิ่มจำนวนประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ ในการเดินทางมาประเทศไทย นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของ ศบค. ที่จะพิจารณา ซึ่งก็มีทั้งเพิ่มและลด ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ซึ่งขระนี้ถือว่าเพียงพอ และนักท่องเที่ยวก็ทยอยเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ต้องมีมาตรการปรับปรุงดูแลและต้องระมัดระวัง ที่สำคัญต้องระวังตัวเอง โดยเฉพาะช่วงเทศกาลลอยกระทง ให้ตระหนักถึงความสำคัญของการเปิดประเทศ หลีกเลี่ยงการกระทำใดๆ ที่สุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

“ผลบวกของการเปิดประเทศมันเกิดประโยชน์กับใคร ผู้ประกอบการขนาดเล็กจะได้ประโยชน์มากขึ้น จึงขอความร่วมมือของคนไทยทุกคน เป็นส่วนสำคัญที่สุดที่จะพิสูจน์ความสำเร็จของประเทศ เพราะรัฐบาลทำพยายามทำทุกมาตรการแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่ประชาชนคนไทยทุกคนที่จะช่วยกัน ผ่านลอยกระทงนี้ไปให้ได้ รวมถึงการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ ถ้าทำได้ดี เราจะเป็นประเทศต้นแบบในการเปิดประเทศที่ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากภาคประชาชน และผลสำเร็จที่เกิดขึ้นก็จะได้กับประเทศไทยและประชาชนทุกคน” นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว

ส่วนการใช้ระบบ Thailand pass ที่มีการปรับปรุงให้รวดเร็วขึ้น จะสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้มากน้อยแค่ไหน นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า เบื้องต้นประมาณ 10,000 คนต่อวัน ซึ่งทุกอย่างต้องเป็นขั้นเป็นตอน ถ้าจะให้สมบูรณ์ต้องดูว่าเราปฏิบัติกันได้ครบถ้วนหรือไม่ ปัจจัยสำคัญคือความเชื่อมั่นในประเทศ ที่มีปริมาณผู้ติดเชื้อไม่เยอะ การควบคุมการเปิดประเทศในต้นปีก็น่าจะสมบูรณ์ได้แล้ว

สำหรับการกู้ยืมเงินของกองทุนน้ำมัน นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า จะเริ่มใช้ในช่วงต้นปีหน้า และใช้เวลาไม่นาน ซึ่งขณะนี้ยังมีสภาพคล่อง ส่วนการให้รถไฟ รถทหาร เข้ามาช่วยในการขนส่ง มีปัจจัยอะไรประกอบบ้างนั้น ก็ต้องดูว่าข้อเสนอของผู้ประกอบเป็นอย่างไร หากมีการดำเนินการใดๆ ที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะเข้าไปช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการ ให้ประกอบธุรกิจได้ ยิ่งช่วงนี้ธุรกิจอยู่ระหว่างการฟื้นตัว ก็ต้องพยามทำทุกทาง ถือเป็นความปรารถนาดีของนายกรัฐมนตรีที่พยายามนำพาหนะที่เป็นของรัฐมาช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการ ส่วนการดำเนินการของสมาพันธ์ขนส่งต่างๆ ก็เป็นเรื่องที่เขาจะตัดสินใจ แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย