- เตรียมออกกฎหมายกำหนดเกณฑ์ พื้นที่เกษตรกรรม
- ระบุการปลูกพืช-พรรณไม้บนที่ดินให้ชัดเจน
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สำหรับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะมีผลบังคับใช้วันที่ 1ม.ค.2563 นั้นจะ ไม่เป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้เสียภาษีที่ดินมากนัก แต่บางรายอาจต้องเสียเพิ่มขึ้นหรือดลดลงบ้าง เพราะภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจัดเก็บภาษีตามมูลค่าของทรัพย์สินเป็นหลัก แตกต่างจากภาษีโรงเรือนและที่ดิน และภาษีบำรุงท้องที่ ที่จัดเก็บจากค่าเช่ารายปี
อย่างไรก็ตามภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่ออกมาสามารถลดปัญหาการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ให้น้อยลงซึ่งจะทำให้การจัดเก็บภาษีที่ดินแม่นยำมากขึ้น นอกจากนี้คาดว่ารายได้จากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างน่าจะใกล้เคียงกับกฎหมายภาษีโรงเรือนและที่ดินและภาษีบำรุงท้อง ซึ่งจัดเก็บได้ประมาณ30,000 ล้านบาทต่อปี
นายชุมพล สุวรรณกิจบริหาร ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านนโยบายภาษี สำนักนโยบายภาษี สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ในส่วนอัตราภาษีที่ดินเกษตรกรรรม ยังต้องออกกฎหมายรองเพื่อกำหนดเกณฑ์ว่าปลูกพืชเท่าใดถึงจะนับว่าเป็นพื้นที่เพื่อการทำเกษตรกรรม ซึ่งปัจจุบันกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งเรื่องมายังกระทรวงการคลังแล้ว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างหารือกับกระทรวงมหาดไทย ในการปรับปรุงกฎหมายรองให้มีความชัดเจนอยู่
“สำหรับกฎหมายรองที่จะออกมา จะมีการจำแนกพรรณไม้และจำนวนการปลูกพืชอย่างชัดเจน อาทิ พื้นที่ 1 ไร่ จะต้องปลูกกล้วยอย่างน้อย 200 ต้น แต่หากปลูกน้อยกว่าที่กำหนดไว้ จะคิดภาษีที่ดินที่เหลือ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนไขอื่นประกอบการพิจารณาด้วย เช่น กรณีพื้นที่ที่ใช้เพื่อการเกษตรต่อเนื่อง เช่น การขุดบ่อน้ำ เป็นต้น ให้ถือว่ารวมเป็นพื้นที่เกษตรเช่นเดียวกัน”
ทั้งนี้ ในส่วนของการคิดอัตราภาษีที่ดินเกษตรกรรมยังมีการบรรเทาเพื่อลดภาระของประชาชน คือ ใน 3 ปีแรก เจ้าของที่ดินที่เป็นบุคคลธรรมดา จะได้รับการยกเว้นการเสียภาษีเกษตรกรรมทุก ส่วนในปีที่ 4 จะได้รับการยกเว้นหากมีมูลค่าที่ดินไม่เกิน 50 ล้านบาท ส่วนนอกเหนือจากนั้นจะต้องเสียภาษีตามอัตราที่กำหนดไว้ เช่น มีที่ดินมูลค่า 51 ล้านบาท ได้รับยกเว้น 50 ล้านบาท เสียภาษีแค่ 1 ล้านบาท ซึ่งเสียภาษีแค่ 0.01ต่อปี เป็นต้น ในขณะที่นิติบุคคลถึงแม้จะมีการใช้พื้นที่เพื่อเกษตรกรรมแต่จะต้องเสียภาษีที่ดินตั้งแต่บาทแรก
