ลงทุนรับนโยบายการเงินเปลี่ยนทิศ

ปัญหาเพดานหนี้สหรัฐฯที่เริ่มคลี่คลาย ความกังวลว่าสหรัฐฯจะผิดนัดชำระหนี้ลดลง ส่งผลให้นักลงทุนทยอยกลับเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง และคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครึ่งหลังของปีนี้

นโยบายการเงินที่กำลังเปลี่ยนทิศในฝั่งสหรัฐฯ และน่าจะมีผลกับนโยบายการเงินทั่วโลกที่ใกล้จบรอบการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไม่ช้า!!

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัยและที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทยได้เขียนบทความ แนะนำแนวทางการลงทุน เดือนมิ.ย66 เผยแพร่ลงใน www.setinvestnow.com โดยแนะให้กระจายการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ทั่วโลก รวมทั้งแบ่งสัดส่วนการลงทุนไปตราสารหนี้ และถือเงินสดรอจับจังหวะลงทุนหากตลาดหุ้นผันผวนและย่อตัวลง “คุณนายพารวย” อ่านแล้วน่าสนใจ จึงนำมาสรุปสั้นๆ เพื่อให้นักลงทุนจับทิศทางการลงทุนได้ถูกทาง โดย “ดร.อมรเทพ”ได้ให้คำแนะนำไว้ให้ดังนี้

1.กองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ และเลือกกองทุนที่ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไว้ด้วย หากกองทุนถือพันธบัตรระยะสั้น เพื่อช่วยลดความผันผวนจากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ในกรณีที่ยังมีแรงกดดันต่อในเดือนมิ.ย.ที่ยังไม่หยุดขึ้นดอกเบี้ยอย่างที่คาด

2.เงินสดหากภาพ Sell in May ลากยาวต่อมาถึงเดือนมิ.ย.ทั้งจากปัญหาการเมืองในสหรัฐฯ หรือแรงกดดันต่อการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่มากขึ้น โดยหาจังหวะเข้าสะสมกองทุนรวมหุ้นขนาดใหญ่พื้นฐานดี ที่มีโอกาสฟื้นตัวได้เร็ว ทั้งนี้ อาจเข้าพักเงินในกองทุนรวมที่มีสภาพคล่องสูง อายุเฉลี่ยตราสารหนี้ของกองทุนสั้นและอันดับความน่าเชื่อถือดี

3.กองทุนรวมหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลางในสหรัฐฯที่มีการเติบโตสูงโดดเด่นในระยะยาว และมีความแข็งแกร่งในรูปแบบธุรกิจที่รับมือกับการเปลี่ยนแปลงของวงจรเศรษฐกิจได้ดี ให้น้ำหนักกลุ่มเทคโนโลยีฯ (IT) และกลุ่มสุขภาพ (Healthcare) โดยคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะไม่เผชิญกับภาวะถดถอยครั้งใหญ่ แต่เป็นการชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จึงทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความน่าสนใจอีกครั้ง

4.กองทุนรวมหุ้นใหญ่พื้นฐานดีที่กระจายการลงทุนทั่วโลกโดยเฉพาะกลุ่มที่มีความผันผวนต่ำกว่าตลาด เน้นธุรกิจที่โดดเด่น มีประวัติที่มีความสามารถในการทำกำไร การสร้างกระแสเงินสด และการเติบโตดีสม่ำเสมอ รวมทั้งบริษัทที่มี ESG ซึ่งจากการวิจัยพบว่า มักให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดและผันผวนน้อยกว่าตลาด

5.กองทุนรวมหุ้นจีนช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นจีนย่อตัวลง ทำให้ค่า P/E ของตลาดหุ้น A-Shares ปรับลงถึงจุดที่น่าสนใจ และคาดกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) จะเติบโตสูง ซึ่งถือเป็น 1 ในตลาดหุ้นที่ยังมีศักยภาพในการเติบโตดีในปีนี้เลือกกองทุนรวมที่มีแนวทางการลงทุนแบบเชิงรุก (Active) เน้นหุ้นใหญ่หรือหุ้นที่มีแนวโน้มได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและการปฏิรูปเศรษฐกิจในระยะยาว และได้ประโยชน์จากการกลับมาเปิดเศรษฐกิจของจีน

6.กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หรือ REITs ในไทยและสิงคโปร์เริ่มน่าสนใจ หลังเริ่มประกาศจ่ายเงินปันผลได้ และน่าจะได้เงินปันผลมากขึ้นกลับไปใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด ส่วนกอง REITs ประเภท Leasehold ให้เลือกกองที่เหลือสัญญาเช่าอีกหลายสิบปี ซึ่งจะช่วยให้กองทุนมีความสามารถในการจ่ายเงินปันผลได้ระยะยาว!!