สำนักข่าวต่างประเทศรายงานถึงสถานการณ์ในประเทศเมียนมาว่า เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ นับเป็นวันที่สองที่ชาวเมียนมารวมตัวประท้วงด้วยการลงถนนต่อต้านการทำรัฐประหารของกองทัพทหารและได้เรียกร้องให้ปล่อยตัว ‘อองซาน ซูจี’ ประธานพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอล) ดีซึ่งเป็นพรรครัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้ง รวมทั้งนักการเมืองอื่นๆ ที่โดนควบคุมตัว
ทั้งนี้ในวันอาทิตชาวเมียนมาจำนวนมากขึ้นได้รวมตัวเดินขบวนประท้วง เคาะหม้อ เคาะไห รวมไปถึงการบีบแตรบนท้องถนนเป็นแสดงสัญญลักษณ์การต่อต้าน ซึ่งนับเป็นการประทัวงครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่ปี 2007 ที่ผ่านมา
โดยในช่วงบ่ายการชุมนุมยังคงเพิ่มขึ้น และมีจำนวนมากกว่าเมื่อวานนี้อย่างมาก บริเวณการชุมนุมที่เจดีย์ซูเล แน่นไปด้วยชาวเมียนมาที่เดินทางมาประท้วง-แสดงออก
นอกจากนี้การประท้วงได้ลุกลามไปยังเมืองอื่นๆ ด้วย อาทิสภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน (RCSS) ออกแถลงการณ์ตำหนิการยึดอำนาจ ชี้เป็นการกระทบต่อกระบวนการสร้างสันติภาพและความเชื่อไว้วางใจ ระบุกระบวนการการสร้างสันติภาพจะเดินหน้าต่อเมื่อมีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง
พร้อมกับการรายงานข่าวการรวมตัวประท้วงที่เมืองมัณฑะเลย์ และเมียงเมียวดีพร้อมกับข่าวเกิดความวุ่นวายระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับผู้ชุมนุม และผู้การจับกุมไปประมาณ 10 คน
ทั้งนี้การรัฐประหารในเมียนมา ทำให้มีชาติต่างๆ ออกประณามการกระทำของกองทัพ โดยโฆษกทำเนียบขาวของสหรัฐอเมริกา เผยแถลงกรณ์ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยมีเนื้อหาประณาม ขณะที่ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อังกฤษ นอร์เวย์ สวิตเซอร์แลนด์ ได้แสดงจุดยืนต่อต้านการกระทำที่กระทบต่อผลการเลือกตั้งทั่วไปของเมียนมา และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยึดมั่นในบรรทัดฐานของประชาธิปไตย และปล่อยตัวนางออง ซาน ซูจี
