สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 นายอัดฮัม บาบา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแห่งมาเลเซียแถลงว่า ทางการมาเลเซียเตรียมหยุดใช้วัคซีนซิโนแวคทันทีที่หมดสต็อกการใช้โดยจะหันมาให้วัคซีนไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทคเป็นหลักแทน
ทั้งนี้ มาเลเซียได้สั่งซื้อวัคซีนซิโนแวคจากจีนไปแล้ว 12 ล้านโดส ล่าสุดมาเลเซียได้วัคซีนไฟเซอร์ประมาณ 45 ล้านโดส ซึ่งเพียงพอต่อการครอบคลุมประชากร 70% ของประเทศ
รอยเตอร์รายงานว่าระบุว่า การประกาศยุติการใช้วัคซีนซิโนแวคเกิดขึ้นท่ามกลางความวิตกกังวลที่มีมากขึ้นเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนดังกล่าวซึ่งเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย ว่าจะสามารถต้านทานไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่ติดต่อได้ง่ายขึ้นมากน้อยเพียงใด
พร้อมยกตัวอย่างว่า ประเทศเพื่อนบ้านของมาเลเซียอย่างไทย ก็เพิ่งประกาศจะสลับไปฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนเข็มที่ 2 สำหรับผู้ที่ฉีดซิโนแวคเป็นเข็มแรก ขณะที่อินโดนีเซียก็มีแผนจะฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 สำหรับผู้ที่ได้ฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มแล้ว
มาเลเซียเป็นประเทศมีอัตราการฉีดวัคซีนสูงประเทศหนึ่งในภูมิภาคโดยราว 26% ของประชากร 32 ล้านคน ได้ฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 โดส
ขณะเดียวกันกระทรวงสาธารณสุขมาเลเซียเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 กรกฏาคม พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดรายใหม่จำนวน 13,215 ราย ซึ่งเป็นการทำสถิติจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 880,782 ราย ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เพิ่มขึ้น 110 ราย สู่ระดับ 6,613 ราย ทำให้มาเลเซียกลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากเป็นอันดับ3 ในอาเซียน รองจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์
มาเลเซียมีอัตราการฉีดวัคซีนสูงที่สุดชาติหนึ่งในภูมิภาคเช่นกัน โดยราว 26% ของประชากร 32 ล้านคน ได้ฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 โดส
ที่มา www.reuters.com