“พี่ศรีฯ” บุกกรมป่าไม้ จี้เอาผิดนายทุนต่างชาติขายฝันโครงการ “Phetchaburi Park Project” รุกพื้นที่ป่าสงวน

นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา ทางสมาคมฯได้เข้าพบและหารือข้อกฎหมายกับนายอดิศร นุชดำรง อธิบดีกรมป่าไม้ กรณีนายทุนต่างชาติ เข้ามาดำเนินโครงการ“Phetchaburi Park Project” เพื่อจัดทำโรงแรม คอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว สวนอาหาร และสวนน้ำ ในพื้นที่กว่า 555 ไร่ในพื้นที่ตำบลไร่โศก อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี โดยหลอกขายให้ชาวต่างชาติเป็นจำนวนมากที่อยากมีบ้านพักที่อยู่อาศัยในเมืองไทย

ทั้งนี้จากการตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ของที่ดินทั้งหมดในโครงการดังกล่าว ซึ่งมีทั้งหมด 21 แปลง เนื้อที่รวม 555 ไร่ 1 งาน 49 ตารางวา (ตรว.) ซึ่งอยู่ในรูปของ น.ส.3 ปรากฏว่า ที่ดินเกือบทั้งหมดอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่ายางหัก-เขาปุ้ม ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 458 (พ.ศ.2515) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ 2507 เมื่อวันที่ 3 มี.ค.2515 และเมื่อตรวจสอบต่อไปว่า น.ส.3 ดังกล่าวนั้นได้ทำการออกโดยกรมที่ดินช่วงปี 2533 ภายหลังจากการประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติแล้ว จึงเป็นที่สงสัยว่า เอกสารสิทธิ์ น.ส.3 ทั้ง 21 แปลงดังกล่าว กรมที่ดินออกมาให้ประชาชนหรือเอกชนได้อย่างไร ในเมื่อพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งสมาคมฯเชื่อว่าอาจมีการร่วมมือกันอย่างเป็นกระบวนการ เพื่ออำพรางข้อกฎหมาย ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 ได้

ทั้งนี้ที่ดินดังกล่าว สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 10 สาขาเพชรบุรี ได้ทำการลงไปรังวัดสำรวจตรวจสอบพิกัดของที่ดินแล้วตั้งแต่วันที่ 17 ก.ค.2563 และรายงานให้อธิบดีกรมป่าไม้ทราบแล้วตั้งแต่วันที่ 19 ส.ค.2563 ว่าพื้นที่ดินดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่ายางหัก-เขาปุ้มจริง และอธิบดีกรมป่าไม้ได้มอบหมายให้สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 10 สาขาเพชรบุรี ดำเนินการตรวจสอบสารบบที่ดินเพื่อเพิกถอน น.ส.3 ทั้งหมด แต่ทว่าจนบัดนี้กระบวนการเพิกถอนที่ดินและเอาผิดบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการออกเอกสารสิทธิ์ดังกล่าว ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด

“ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน จึงเดินทางมาพบอธิบดีกรมป่าไม้ เพื่อขอให้เร่งรัดการตรวจสอบและประสานกรมที่ดินเพื่อเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งผู้ที่ยึดถือครอบครอง ทำประโยชน์และแผ้วถางที่ป่าสงวนแห่งชาติ ตาม ม.14 เพื่อนำไปสู่การลงโทษ ตาม ม.31 ซึ่งเป็นการยึดถือครอบครองเกิน 25 ไร่ขึ้นไป จึงมีโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี ปรับตั้งแต่ 2 แสนถึง 2 ล้านบาท ซึ่งอธิบดีกรมป่าไม้รับปากว่าจะเร่งรีบดำเนินการให้เร็วที่สุดต่อไป” นายศรีสุวรรณ กล่าว