พาณิชย์แนะปลูกไม้ยืนต้นค้ำประกันขอกู้เงินแบงก์

  • แต่ต้องปลูกในพื้นที่ตนเองและเอามาเป็นหลักประกัน
  • ย้ำไม่ต้องตัดอนาคตขอเพิ่มวงเงินกู้ตามการโตของต้นไม้ได้
  • ทั่วประเทศเอาไม้ยืนต้นมาค้ำกว่าแสนต้นกู้เงินแล้ว131ล้าน

นางสาวปัทมาวดี บุญโญภาส รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วนี้ กรมร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)   ลงพื้นที่ จ.อุทัยธานี พบปะตัวแทนเกษตรกรและผู้นำชุมชน เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจให้มีการปลูกไม้ยืนต้นบนที่ดินของตนเองมากขึ้น เพราะสามารถนำมาเป็นหลักประกันการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ภายใต้พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจพ.ศ.2558 และช่วยสร้างความมั่นคงให้แก่ครอบครัวได้ในอนาคต

“การลงพื้นที่ในครั้งนี้ ได้เดินทางไปที่ ธนาคารต้นไม้บ้านหนองจิก อ.หนองฉาง โดยได้ชี้แจงถึงนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ในการผลักดันให้เกษตรกรปลูกไม้ยืนต้นบนที่ดินของตนเอง และนำไม้ยืนต้นนั้นมาเป็นหลักประกันการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน เพื่อนำไปต่อยอดทำการเกษตร หรือใช้สอยในชีวิตประจำวัน เป็นการช่วยให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น ซึ่งเกษตรกรบ้านหนองจิกให้ความสนใจปลูกไม้ยืนต้นบนที่ดินของตนเอง สลับกับการปลูกพืชผักสวนครัว ทำให้แบ่งพื้นที่การใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า“

นอกจากนี้ ธ.ก.ส.ยังได้ร่วมกับกรรมการธนาคารต้นไม้ ตรวจวัดและประเมินมูลค่าไม้ยืนต้นของเกษตรกรที่แสดงความประสงค์ขอใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักประกันทางธุรกิจ และ ธ.ก.ส.ได้ มอบวงเงินสินเชื่อแก่เกษตรกร จำนวน 2 ราย วงเงินสินเชื่อรวม 520,437.09 บาท ที่ได้นำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันรวม 30 ต้น ได้แก่ ยาง 23 ต้น แดง 1 ต้น ประดู่ป่า 1 ต้น มะหาด 1 ต้น รกฟ้า 1 ต้น เสลา 1 ต้น และ พะยอม 2 ต้น สำหรับการนำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันนั้น เกษตรกรไม่จำเป็นต้องตัดต้นไม้ ทำให้ไม้ยืนต้นนั้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามการเติบโต ส่งผลให้เกษตรกรขยายวงเงินการขอสินเชื่อเพิ่มเติมได้ในอนาคต  

นางสาวปัทมาวดี กล่าวต่อว่า กรม และ ธ.ก.ส. จะลงพื้นที่จังหวัดต่างๆ อีกเช่น อ่างทอง พิษณุโลก เพื่อเดินหน้าสร้างความรู้ความเข้าใจให้เกษตรกรและประชาชนเห็นถึงความสำคัญของการปลูกไม้ยืนต้นบนที่ดินของตนเอง เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ โดยล่าสุด ณ วันที่ 30 มิ.ย.63 มีผู้ขอนำไม้ยืนต้นมาจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแล้ว 105,381 ต้น มูลค่ารวม 131.65 ล้านบาท