นายกฯ ชี้แจงทุกปัญหา รัฐบาลแก้ไขปัญหาอย่างสมดุล

  • ยืนยันว่ารัฐบาลได้ดำเนินการชัดเจนไปหลายเรื่อง
  • ยอมรับว่าสินค้ามีราคาแพงขึ้น แต่ราคาแพงขึ้นทั่วโลก
  • เงินเฟ้อครั้งนี้ เป็นปรากฏการณ์ทั่วโลก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 65 ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชั้น 2 อาคารรัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 3 ครั้งที่ 32 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ชี้แจงถึงข้อกล่าวหาจากฝ่ายค้าน ทั้งนี้ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปการชี้แจงของนายกรัฐมนตรี ดังนี้

ขอขอบคุณคำชี้แจง พร้อมรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ไปปรับปรุงแก้ไข ยืนยันว่ารัฐบาลได้ดำเนินการชัดเจนไปหลายเรื่อง ซึ่งขอให้ทำงานบนข้อมูล ข้อเท็จจริง โรคนี้ จะไม่ติดมาที่มนุษย์ การส่งหมูออกนอกประเทศ ปกปิดไม่ได้ การส่งออก ปลายทางก็ต้องตรวจสอบ ได้ตรวจค้นเรื่องการปกปิดเนื้อสุกร ให้มีการขึ้นทะเบียน ต้องช่วยกันให้สมาคมเลี้ยงสุกร เข้าสู่มาตรการการช่วยเหลือของรัฐ ต้องพัฒนาคุณภาพให้ป้องกันโรคระบาดได้ ซึ่งได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์เข้าไปดูแลรายเล็ก

เรี่องเงินเฟ้อ บางอย่างมีราคาสูงขึ้น ขอความร่วมมือไปที่ทุกภาคส่วน ต้นทุนเท่าไหร่ ควรขายเท่าไหร่ รัฐบาลทยอยแก้ไขมาตามลำดับ ตามมาตรการแก้ไข การที่สินค้าอยู่ที่เงินเฟ้อ อยู่ที่การแก้ไข เป็นเหตุการที่เกิดขึ้นทั่วโลก จากสถานการณ์โควิด ไทยมีมาตรการช่วยเหลือ แก้ไขปัญหาได้ดีกว่าหลายประเทศ รัฐบาลช่วยลดภาระสร้างความเข้มแข็งให้ประชาชนอยู่รอดให้ได้ เป็นสิ่งที่รัฐบาลได้ทำมาแล้ว ทำมาโดยตลอด และทำต่ออย่างเนื่อง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ยังมีอยู่อีกซักพัก ซึ่งทุกประเทศให้ความสำคัญกับการทุเลาสถานการณ์ให้มากที่สุด ช่วยกันทำความเข้าใจ อธิบาย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

นายกรัฐมนตรียอมรับว่าสินค้ามีราคาแพงขึ้น แต่ราคาแพงขึ้นทั่วโลก เมื่อดูตัวเลขเงินเฟ้อเปรียบเทียบแต่ละประเทศ จะเห็นว่า เงินเฟ้อเกิดขึ้นทั่วโลกโดยเฉพาะในปี 2564 ทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป เอเชีย รวมทั้งประเทศไทย จะเห็นว่าสหรัฐอเมริกาและอินเดียมีเงินเฟ้อค่อนข้างสูงมาก ดูในเอเชีย ปี 2564 ญี่ปุ่น เงินเฟ้อ 2.6% มาเลเซีย เงินเฟ้อ 2.5% เวียดนามเงินเฟ้อ 1.9% แล้วดูของไทย เงินเฟ้อ 1.2% ครับ ที่เอามาให้ดูนี่เพื่อที่จะยืนยันและเน้นย้ำว่ามันเกิดขึ้นทั้งโลกครับ ไม่ใช่เฉพาะไทย นายกรัฐมนตรีได้อธิบายถึงปัญหาและการดำเนินงานของรัฐบาล

เงินเฟ้อครั้งนี้ เป็นปรากฏการณ์ทั่วโลก ทำให้สินค้าและบริการที่สูงขึ้นไปด้วย สาเหตุที่เกิดเงินเฟ้อทั่วโลกมาจากหลายปัจจัย สาเหตุหนึ่งมาจากปัจจัยทางสาธารณสุข อาทิ การปิดประเทศ การขนส่งหยุดชะงัก เมื่อสินค้าขาดตลาด สินค้าก็สูงขึ้น และจากการฉวยโอกาสของบุคคลบางส่วน วิกฤตโควิด นำไปสู่เงินเฟ้อมากขึ้นในปี 2564 การผลิตและความต้องการสินค้าและบริการของโลกเปลี่ยนแปลงแบบไม่ปกติอย่างมาก และไม่สมดุล ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการ

สาเหตุของการเกิดเงินเฟ้อทั่วโลก มาจากหลายปัจจัย ได้แก่ 1 ด้านสาธารณสุข โควิดทำให้หลาย ๆ ประเทศ หลาย ๆ เมืองมีมาตรการปิดเมือง จำกัดการเดินทาง จำกัดการทำกิจกรรม จำกัดการออกจากบ้าน และมีการปิดใหญ่ ปิดย่อย ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ภาคการผลิตไม่สามารถผลิตได้อย่างที่เคย การขนส่งหยุดชะงัก ทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบ ผู้ผลิตสินค้า ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก ได้รับผลกระทบทั้งหมด และเมื่อสินค้าขาดตลาด ราคาก็จะสูงขึ้น ตามกลไกตลาด และการฉวยโอกาส ของคนบางส่วน เรื่องที่ชัดเจนที่สุดคือ ค่าขนส่งสินค้าและค่าระวางเรือเติบโตสูงขึ้นหลายเท่าตัวในช่วงปีที่ผ่านมา เนื่องจากการถูกจำกัดการเดินทาง และการขนส่งสินค้าหยุดชะงัก

ราคาค่าขนส่งด้วยตู้ Container ขนาด 40 ฟุต มีราคาเพิ่มขึ้นจาก 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ ไปสูงสุดถึง 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงปี 2564 เป็นการเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าตัว ค่าขนส่งเป็นต้นทุนสินค้าที่สำคัญ (ทั้งการผลิตและการขนส่ง) เมื่อค่าขนส่งเพิ่มขึ้น ก็ส่งผลให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นด้วย การขนส่งคอนเทนเนอร์ใช้เวลามากกว่าเดิม

2. กำลังซื้อที่สูงขึ้น ทำให้เกิดเงินเฟ้อ จากการที่รัฐบาลต่าง ๆ ทั่วโลก มีนโยบายหรือมาตรการให้เงินเพื่อช่วยเหลือประชาชน และกลุ่มธุรกิจ ให้สามารถอยู่รอดได้ในช่วงการปิดเมือง ปิดประเทศ จึงส่งผลให้ กำลังซื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากรวดเร็ว นอกจากนี้ รัฐบาลทั่วโลก ได้กู้เงินมาใช้กระตุ้นและรักษาเศรษฐกิจในช่วงวิกฤตโควิด (มากกว่า 10% ของ GDP ต่อปี) ในภาพรวมถือเป็นการใช้เงินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก เมื่อเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น คนก็เริ่มกลับมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งในเวลาที่ผลิตสินค้าได้น้อยลง ขนส่งได้ช้า แต่ในขณะเดียวกันกลับเกิดกำลังซื้อมหาศาล ถึงแม้จะชั่วคราวและไม่ได้เกิดในทุกสินค้า แต่ก็ทำให้ราคาสินค้าหลัก ๆ ทั่วโลก มีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและแรงมาก

ทั้งนี้ น้ำมันซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เป็นต้นทุนหลักของการเดินทางและอุตสาหกรรมทั่วโลก มีราคาปรับตัวขึ้นอย่างมากในปี 2564 ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 60% จากราคา 47.9 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรลล์ เพิ่มขึ้นเป็น 77.4 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรลล์
ซึ่งหากลองเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ที่อังกฤษประชาชนต้องจ่ายค่าน้ำมันแพงขึ้นเกือบ 30% ที่อเมริกาต้องจ่ายแพงขึ้นกว่า 46% ในขณะที่ประเทศไทยด้วยมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาล คนไทยจ่ายค่าน้ำมันดีเซลแพงขึ้น 20% ซึ่งต่ำกว่าหลายประเทศ ตามที่ได้กล่าวไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม รัฐบาลทราบดีถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน และจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อลดภาระรายจ่ายของทุกคน จากวิกฤตราคาน้ำมันและพลังงานแพงที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ทั่วโลกในขณะนี้

ราคาค่าไฟฟ้าครัวเรือน ในปี 2564 หลายประเทศในยุโรป เกิดวิกฤตค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ทำให้ ค่าเดินทาง ค่าน้ำมัน ค่าไฟฟ้า เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล คนอังกฤษต้องจ่ายค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว ในขณะที่คนไทยเสียค่าไฟฟ้าเท่าเดิมในปี 2564

ค่าโดยสารรถสาธารณะที่ประเทศอังกฤษ เพิ่มขึ้นในช่วงปี 2563 – 2564 โดยภายใน 2 ปีค่ารถเมล์ของประเทศอังกฤษแพงขึ้นกว่า 30% ในขณะที่ประเทศไทย แม้ราคาพลังงานจะสูงขึ้น แต่รถเมล์ไม่มีการปรับขึ้นราคา ทั้งที่ ขสมก. เดินรถขาดทุนอยู่ตลอด เพราะรัฐบาลให้ความสำคัญกับการลดภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชนผู้ใช้บริการเป็นลำดับแรก

สินค้าแพงขึ้นรวมถึงค่าอาหาร ราคาอาหารและการอุปโภคบริโภคที่สูงขึ้น เป็นเรื่องที่สำคัญที่ประชาชนคนไทยได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหานี้ แม้แต่ 1 เปอร์เซนต์ นายกรัฐมนตรีก็ไม่อยากให้ประชาชนได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ ทุกประเทศได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อในเรื่องของราคาอาหารแพงทั้งหมด ตัวเลขจากองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) แสดงให้เห็นว่าราคาอาหารทั่วโลกเพิ่มขึ้นสูงถึง 28% ในปี 2564 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทย สถิติดัชนีผู้บริโภคของประเทศไทย ราคาสินค้าอาหารอุปโภคบริโภคของประเทศไทย(ไม่รวมแอลกอฮอล์) ราคาโดยรวมเพิ่มสูงขึ้นเพียง 0.77% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งถือเป็นอัตราการเปลี่ยนแปลงที่น้อยมากถ้าเทียบกับราคาอาหารทั่วโลก ที่เพิ่มขึ้นกว่า 28%

ทั้งนี้ ประเทศไทยไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะเราเป็นประเทศที่สามารถผลิตอาหารได้เอง ทำให้ประเทศไทยไม่ต้องเผชิญกับค่าอาหารที่แพงขึ้นมากเท่ากับประเทศอื่น ๆ ในโลก ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็ได้ใช้จังหวะนี้พลิกวิกฤตเป็นโอกาสเพิ่มปริมาณการส่งออกสินค้าเกษตร เช่น ผัก มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นจาก 128,000 ล้านบาท ในปี 2563 เป็น 191,000 ล้านบาท ในปี 2564 เพิ่มขึ้นกว่า 63,000 ล้านบาทในปีเดียว เช่นเดียวกับสินค้าเกษตรอื่น ผลไม้ มันสำปะหลัง กุ้ง ปลา เป็นต้น สินค้าเหล่านี้เราผลิตได้ในประเทศ และมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นในปี 2564 ทุกรายการ โดยรัฐบาลได้มีการเจรจากับหลายประเทศเพื่อเปิดตลาดใหม่ ๆ รองรับสินค้าจากประเทศไทยให้มากขึ้นกว่าเดิมด้วย นายกรัฐมนตรีได้พูดคุยกับบุคคลสำคัญจากต่างประเทศ ล้วนยินดีสนับสนุนไทยในประเด็นอาหารนี้

อย่างไรก็ตาม เราจะยังต้องเจอกับราคาสินค้าแพงอีกสักพัก และรัฐบาลก็ให้ความสำคัญอย่างมากในการแก้ปัญหา ทุเลาความเสียหาย และเริ่มเห็นผลดีมากขึ้นแล้ว โดยรัฐบาลได้มีการออกมาตรการแก้ไขปัญหาของแพงในหลาย ๆ ด้าน หลาย ๆ มิติ ทำให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบไม่มาก ซึ่งตั้งแต่ปี 2564 รัฐบาลพยายามประคับประคองราคาน้ำมัน โดยใช้เงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันในช่วงปี 2564 ไปกว่า 33,000 ล้านบาท ในขณะเดียวกันก็ได้มีการปรับอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงมีการกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่กองทุนฯ เพื่อให้กองทุนฯ ยังคงความสามารถในการรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้เหมาะสมได้ ในส่วนน้ำมันดีเซลก็ได้ปรับให้ใช้บี 7 สูตรเดียวมาตั้งแต่ พ.ย. 2564 และตั้งแต่ต้นเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ก็ปรับลดส่วนผสมไบโอดีเซล เป็น บี 5 ในช่วงที่ บี 100 ราคาสูง ซึ่งเกิดจากการวิเคราะห์ของรัฐบาลถึงโครงสร้างน้ำมัน ว่าเหตุใด ส่วนผสมใดแพง

นอกจากนี้ รัฐบาลยังเดินหน้าขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันเพื่อให้ลดค่าการตลาด ทั้งหมดนี้เพื่อรักษาราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลทุกประเภทไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ซึ่งหากรัฐบาลไม่ทำอะไร ราคาน้ำมันดีเซลที่ขายในประเทศจะปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นและค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง แต่รัฐบาลคงราคาที่ 30 บาท มาระยะหนึ่งแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับพี่น้องประชาชนที่ใช้รถบรรทุก รถกระบะในการทำมาหากิน นายกรัฐมนตรีตอบโต้เรื่องที่มีการหยิบยกข้อความที่บิดเบือน ขอให้หยิบยกข้อความจากการตอบคำถามของนายกรัฐมนตรีให้ครบถ้วน ทั้งนี้ ต้องติดตามสถานการณ์ มาตรการของต่างประเทศด้วย เป็นแนวทางการบริหารงานของรัฐบาล

เรื่องราคาหมูกับเรื่องโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) รัฐบาลก็วางแผนรับมือมาตั้งแต่เมษายนปี 2562 โดยได้มีมติเห็นชอบแผนเตรียมความพร้อมรับมือโรค และกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้มีแนวทางป้องกัน แนวปฏิบัติเมื่อเกิดการระบาด และแผนการฟื้นฟูหลังระบาด และเน้นย้ำว่าได้มีการตรวจสอบห้องเย็น มีการพบผู้กระทำผิดกักตุนเนื้อหมู 17 ราย ส่งฟ้องและมีคำพิพากษาแล้ว 15 ราย อยู่ระหว่างดำเนินคดี 2 ราย ซึ่งได้เน้นย้ำให้ตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง โดยรวมไปถึงน้ำมันปาล์มที่พบว่าราคาสูงอยู่ในขณะนี้ โดยให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย ประสานงานกับรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ให้มีความเข้มงวดในเรื่องนี้

รัฐบาลยังมีมาตรการตรึงราคาสินค้าหลายชนิด โดยกระทรวงพาณิชย์ได้จัดชุดปฏิบัติการออกตรวจสอบสถานการณ์ราคาสินค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ตรวจสอบการขายของ รวมถึงห้างค้าส่งค้าปลีก 204 แห่ง โดยพบการไม่ปิดป้ายแสดงราคา ขายเกินราคา ซึ่งได้ดำเนินการตามกฎหมายทั้งหมด โดยทุกวันนี้ราคาหมูก็ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากรัฐบาลไม่เตรียมการรับมือไว้ล่วงหน้า ไม่สามารถดำเนินการได้ถึงขั้นนี้ได้ สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้มาคิดแก้ปัญหารายวันตามที่กล่าว สำหรับรายละเอียดการปฏิบัติในแต่ละเรื่อง จะให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องจะได้มานำเรียนให้ทราบต่อไป

มาตรการต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการไปแล้วมีหลายเรื่อง เช่น โครงการคนละครึ่ง (ระยะที่ 1-4) เพื่อลดภาระค่าอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าทั่วไป ให้พี่น้องประชาชนได้เงินไปดำรงชีพ ไม่ได้มีไว้ให้เจ้าสัวตามที่บิดเบือน รวมทั้ง มีโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ โครงการเราชนะ และ โครงการ ม. 33 เรารักกัน ซึ่งโครงการทั้งหมดมีการขึ้นบัญชี สามารถตรวจสอบการโกงได้ สิ่งเหล่านี้รัฐบาลทำมาตลอด เพราะหากว่ารัฐบาลไม่ทำอะไร หรือบริหารจัดการได้ไม่ดี วิกฤติเงินเฟ้อ ของแพงทั่วโลก ปัญหาอาจจะหนักขึ้นมากกว่านี้ รัฐบาลได้ช่วยลดภาระไปได้มากถึงมากที่สุด

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงปัญหาของแพง ที่แม้แต่ 1-2% โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด เป็นเรื่องที่รับไม่ได้ และไม่อยากให้เกิดขึ้น จึงได้กำชับให้ออกมาตรการดูแลมาตลอด และเริ่มส่งผลในทางที่ดี สินค้าหลายๆ อย่างได้ปรับราคาลงมาบ้างแล้ว จะเห็นได้จากตัวเลขสถิติอัตราเงินเฟ้อในเดือนมกราคม แสดงให้เห็นว่าราคาสินค้าสำคัญบางกลุ่มปรับตัวลดลง เนื่องจากปริมาณผลผลิตกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เช่น หมู ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว และผักสด

นายกรัฐมนตรีได้สรุปว่า วิกฤติของแพงเกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งสาเหตุจากวิกฤตโควิดทำให้สินค้าและบริการขาดตลาด ในขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศใหญ่ ๆ เป็นการเพิ่มกำลังซื้อ ทำให้ราคาสินค้าหลัก ราคาพลังงาน ราคาอาหาร ค่าขนส่ง และการเดินทาง ราคาที่อยู่อาศัย และปัจจัยในการดำรงชีพ ปรับตัวสูงขึ้นมาก สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาที่โลกยังต้องเผชิญอยู่แม้กระทั่งในตอนนี้

ประเทศไทยรับมือได้ดีกว่าประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก และ รัฐบาลช่วยลดภาระให้กับประชาชนได้มากถึงมากที่สุด มาตรการต่างๆ ทำให้ผลเสียหายน้อยกว่าที่ควรจะเป็นมาก หากรัฐบาลไม่มีมาตรการช่วยเหลือ ประชาชนจะเดือดร้อนกว่านี้ เป็นสิ่งที่รัฐบาลทำได้ดี และทำต่ออย่างเนื่อง รวมทั้ง ต้องการเห็นสถานการณ์ดีกว่านี้ และที่ผ่านมาตัวเลขก็เริ่มดีขึ้นแล้วและคาดว่าจะดีขึ้นต่อไปอีก ซึ่งนายกรัฐมนตรีพร้อมตั้งใจทำงานจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติ โดยนายกรัฐมนตรีได้หยิบยกเหตุการณ์เมื่อช่วงบ่ายที่มีคณะหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย (Joint Foreign Chambers of Commerce in Thailand: JFCCT) มาเข้าเยี่ยมคารวะ ซึ่งนักธุรกิจกลุ่มนี้ชื่นชมประเทศไทย ขอเพียงให้ประเทศไทยมีเสถียรภาพ พร้อมลงทุนเพิ่มในทุกสาขาที่มีศักยภาพ

นอกจากนี้ รัฐบาลทราบถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่สืบเนื่องจากวิกฤติโควิด ที่รัฐบาลต้องรีบแก้ไข ซึ่งเป็นวาระสำคัญของรัฐบาลที่ได้เตรียมการมาตั้งแต่ปี 2564 โดยรัฐบาลได้กำหนดให้ “การขับเคลื่อนให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน” ได้แก่ 1) การแก้ไขปัญหาหนี้กองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) 2) การกำหนดให้การไกล่เกลี่ยและการปรับโครงสร้างหนี้เป็นวาระของประเทศ (เน้นสถาบันการเงินเฉพาะกิจและ SMEs) 3) การแก้ไขปัญหาหนี้เช่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์ 4) การแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการ โดยเฉพาะครูและตำรวจ และอื่นๆ 5) การปรับลดและทบทวนโครงสร้างและเพดานอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม และการออกมาตรการคุ้มครองสิทธิของลูกหนี้ 6) การแก้ไขปัญหาบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล 7) การแก้ไขปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของประชาชนรายย่อยและ SMEs 8) การปรับปรุงขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรมเพื่อเอื้อให้เกิดการแก้ไขปัญหาหนี้สิน
ส่วนรายละเอียดต่าง ๆ รองสุพัฒนพงษ์ฯ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง จะได้มาชี้แจงต่อไป ซึ่งมาตรการต่าง ๆ แม้จะไม่เห็นผลทันทีแต่ก็เป็นการวางแผนอย่างเป็นระบบของรัฐบาล

ขอย้ำว่ามาตรการทางเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีและของรัฐบาล เน้นการสร้างเสถียรภาพ ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง และสร้างสมดุลที่ดี ระหว่างสาธารณสุขและเศรษฐกิจ ผมอยากให้เศรษฐกิจเติบโตแข็งแรง แต่ยังเน้นวินัยการเงินการคลัง เราไม่มีธนาคารเจ๊ง ไม่มีปัญหาค่าเงินบาท ไม่มีปัญหาเงินเฟ้อแบบที่ควบคุมไม่อยู่ เราสามารถรักษาอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือให้อยู่ในระดับเดิมได้ แม้กระทั่งในช่วงที่เกิดวิกฤตโควิดซึ่งกระทบกับไทยอย่างมาก ประเทศไทยเราจึงไม่เหมือนใคร มีศักยภาพพร้อม มีสถาบันครบถ้วนที่ทำให้บ้านเมืองธำรงมาได้จนทุกวันนี้ ไม่มีเงินกู้ต่างประเทศทั้ง ๆ ที่ทุกประเทศพร้อมให้ยืม ไม่มีการกู้เงินแบบไม่รักษาวินัย ใช้เงินแบบไม่รั่วไหล ระดับราคาสินค้าและเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเป็นสิ่งที่บอกว่าเรามีเสถียรภาพ ประเทศไทยไม่ได้กู้เยอะ ปรับแผนการเงินการคลังตามความเหมาะสม รัฐบาลขับเคลื่อนสั่งการ มอบนโยบาย ซึ่งรัฐมนตรีทุกคนร่วมขับเคลื่อนนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ขอให้ประชาชนและสมาชิกมั่นใจว่าผมและรัฐบาลเข้าใจสถานการณ์ และตั้งใจแก้ปัญหาให้ดีที่สุด ตามคำแนะนำที่มีประโยชน์ของท่านตามมาตรา 152 ไปแก้ไข ไม่ปล่อยให้พี่น้องชาวไทยต้องเผชิญกับวิกฤติของแพงเหมือนที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ

กรณีที่ดิน รัฐบาลมีการหาที่ดินทำกินให้แก่ประชาชน มีการจัดตั้งกลไกคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติ(คทช.) โดยได้จัดสรรที่ดินให้แก่ประชาชนแล้วกว่า 850,000 ไร่ ให้มีที่ดินทำกิน มีการพัฒนาระบบน้ำ ทำโรงไฟฟ้าชุมชน ส่งเสริมการพัฒนาการปลูกพืชที่ราคาตกต่ำให้มีราคาสูง ซึ่งรัฐบาลต้องการสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้แก่ประชาชน รวมทั้งสนับสนุนการสร้างที่ดินป่าชายเลน ปรับปรุงที่ดินที่เสื่อมสภาพให้มีประสิทธิภาพ ปัจจุบันได้ทำการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (One Map) โดยดำเนินการเสร็จไปแล้ว 22 จังหวัด ยังเหลืออีก 44 จังหวัด ที่จะดำเนินการต่อไป ซึ่งสามารถแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนให้สามารถจัดสรรที่ดินในแต่ละจังหวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กรณีปัญหา สแกมเมอร์ (Scammer) รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจและได้สั่งการให้มีการตรวจสอบ ดำเนินการตามระบบ มีการติดตามและเปิดช่องทางให้ประชาชนร้องเรียนมาโดยตลอด รวมทั้งได้มอบหมายให้ตำรวจ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการแล้ว