- ด้านเอกชนวอนรัฐเพิ่มสัดส่วนอุตสาหกรรมดิจิตอลต่อจีดีพี
- หวั่นสูญเสียส่วนแบ่งการตลาด
นายฉัตรชัย ศิริไลกรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) วิพากษ์การจัดทำภาพฉายอนาคต (Scenario Foresight) เพื่อคาดการณ์สถานการณ์เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศอีก 10 ปี เราจะอยู่กันอย่างไร โดยตั้งข้อสังเกตุถึงการพัฒนาดิจิตอลที่อาจจะนำมาสู่ต้นทุนที่แพงขึ้นของผู้บริโภค ว่า ขณะนี้สถาบันการเงินทุกแห่งได้ให้บริการธุรกรรมการเงินผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งก็ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในหลายแง่มุม แต่การพัฒนาการให้บริการผ่านระบบดิจิตอลต่างๆเพื่อให้เกิดความสะดวกมากขึ้นนั้น ถือเป็นต้นทุนที่แพงขึ้นเช่นกัน และเมื่อผู้บริโภคหรือประชาชนทุกคนหันมาใช้ดิจิตอลอย่างเต็มรูปแบบ ต้นทุนของประชาชนจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ภาครัฐจะต้องเตรียมแผนรองรับ
“ผมมอง Social distancing economy จะเกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นการทำธุรกิจระหว่างกันโดยไม่ต้องพบเจอตัว รัฐเองในฐานะที่เป็นผู้กำกับในการใช้สื่อสารภาคดิจิตอลเพื่อให้เกิดตัวเลขทางเศรษฐกิจจะต้องดูแลให้ดี ทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้วแต่ต้องให้รับกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่อป้องกัน เพราะวันหนึ่งเมื่อทุกคนเข้ามาอยู่ในเทคโนโลยีและมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นทุกคนก็รู้ว่าไม่มีของฟรีในโลก เมื่อมีรายจ่ายขึ้นมา ใครจะเป็นคนจ่ายรัฐหรือประชาชนที่เป็นผู้ใช้บริการ”
ทั้งนี้ ดิจิตอลทำให้โลกเปลี่ยนแน่นอน ทุกคนต้องเตรียมรับมือว่า จะมาในรูปแบบไหน ซึ่งการพัฒนาของเทคโนโลยีเพื่อสร้างบริการใหม่ๆ ก็จะมีค่าใช้จ่ายเข้ามากระทบ เริ่มจากโทรศัพท์มือถือไปจนถึงเครื่องมือทางการแพทย์ในการดูแลสุขภาพ
อย่างไรก็ตามนอกจากเรื่องต้นทุนการบริโภคที่เพิ่มจากการพัฒนาเทคโนโลยี ยังมีด้านมืดจากการพัฒนาเทคโนโลยีอีกด้วย ยกตัวอย่าง การเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ทำให้เด็กบางคนไม่ยอมพูด จนต้องพาไปให้แพทย์ทำการรักษา อีกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันที่คนเราหลับไปพร้อมมือถือ ทำให้เกิดอาการปวดหัว ซึ่งถือเป็นผลพวงทางเทคโนโลยี ดังนั้น ผมจึงมองว่า การใช้เทคโนโลยีควรมีความเหมาะสม อย่าใช้จนทำให้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตมากเกินไป
ด้านนายรุ่งเรือง ทิพยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทนิวแอสเซท แอดไวเซอร์รี่ จำกัด กล่าวว่า รัฐบาลควรให้ความสำคัญและส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมหนัก อาทิ เคมีภัณฑ์ และ ปิโตเลียม รวมถึง อุตสาหกรรมใน new s-cruve ใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนในการผลิตในปัจจุบัน เพราะหากไม่ส่งเสริมจะส่งผลให้ไทยสูญเสียรายได้ทางการตลาดให้กับประเทศคู่แข่ง เช่น จีน เวียดนาม และมาเลเซีย ที่ปัจจุบันมีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงไปมากกว่าไทยแล้ว
ขณะเดียวกัน ไทยควรมีสัดส่วนอุตสาหกรรมดิจิตอลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี)อย่างน้อย 5%สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตและอย่างน้อย 10%หากรวมธุรกิจอีคอมเมิร์สไปด้วยที่ปัจจุบันไทยมีสัดส่วนดังกล่าวเพียง3-4%เท่านั้น ซึ่งในประเทศที่พัฒนาแล้วมีสัดส่วนอุตสาหกรรมดิจิตอลต่อจีดีพีสูงถึง 10-30%